คิดเห็นแชร์ : สงครามการค้า ‘จีน-สหรัฐ’ รอบใหม่ โอกาสและความท้าทายสำหรับประเทศไทย

คิดเห็นแชร์ : สงครามการค้า‘จีน-สหรัฐ’รอบใหม่
โอกาสและความท้าทายสำหรับประเทศไทย

บทความ “คิด เห็น แชร์” ฉบับนี้ผมจะแชร์มุมมองต่อผลกระทบจากโอกาสที่จะเกิดสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ ครั้งใหม่ โดยเฉพาะภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเดือน พ.ย.2567 นี้ โดยสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2561 ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก แม้ว่าสงครามการค้าฯ จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะระหว่างสองประเทศมหาอำนาจและประเทศคู่ค้าหลัก อย่างไรก็ตาม วิกฤตนี้อาจกลายเป็นโอกาสสำหรับประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ

โมเดล “China+1” หรือ “China+N” กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น เมื่อบริษัทข้ามชาติเริ่มพิจารณากระจายความเสี่ยงด้วยการย้ายฐานการผลิตและแหล่งจัดหาวัตถุดิบบางส่วนออกจากจีน โดยยังคงรักษาการผลิตในจีนไว้ แต่เพิ่มฐานการผลิตในประเทศอื่นๆ ด้วย ยิ่งเมื่อมีความเป็นไปได้ว่าสงครามการค้าอาจทวีความรุนแรงขึ้นหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายน 2567 โมเดลนี้จึงเปิดโอกาสให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำหรับการย้ายฐานการผลิต

ปัจจัยที่ทำให้ประเทศไทยมีความน่าสนใจสำหรับการลงทุน ได้แก่:

ADVERTISMENT

1.ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์: ไทยตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ใกล้กับจีนและเส้นทางการค้าสำคัญในภูมิภาค ทำให้สามารถเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานในเอเชียได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ไทยยังเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงและกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

2.นโยบายส่งเสริมการลงทุน: ประเทศไทยมีนโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ และการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบาย Thailand 4.0 ที่มุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายและเทคโนโลยีขั้นสูง

ADVERTISMENT

3.แรงงานมีทักษะและต้นทุนแข่งขันได้: ไทยมีแรงงานที่มีทักษะในภาคการผลิต และมีต้นทุนแรงงานที่แข่งขันได้เมื่อเทียบกับจีน นอกจากนี้ ไทยยังเปิดกว้างรับแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับตลาดแรงงาน ทั้งนี้ รัฐบาลไทยได้มีการลงทุนในการพัฒนาทักษะแรงงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของอุตสาหกรรมสมัยใหม่

4.โครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาแล้ว: ประเทศไทยมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการคมนาคมขนส่ง พลังงาน และการสื่อสาร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดการลงทุน โดยเฉพาะโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มุ่งเน้นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและสร้างคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย

ผมประเมินอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีโอกาสย้ายฐานการผลิตมาไทย ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารแปรรูป และอุตสาหกรรมการแพทย์และเครื่องมือแพทย์ นอกจากนี้ยังมีโอกาสรับการย้ายฐานการผลิตจากไต้หวัน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนและไต้หวัน อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยไม่ได้เป็นตัวเลือกเดียว สำหรับการย้ายฐานการผลิตประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ก็กำลังแข่งขันเพื่อดึงดูดการลงทุนเช่นกัน ดังนั้น การแข่งขันในการเสนอสิทธิประโยชน์และการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ รวมทั้งเสถียรภาพทางการเมืองและความต่อเนื่องของนโยบาย จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ประกอบการในการตัดสินใจย้ายฐานการผลิต

โดยสรุป แม้ว่าสงครามการค้าจีน-สหรัฐ รอบใหม่จะเป็นความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็เปิดโอกาสสำหรับประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ การเตรียมความพร้อมด้านนโยบายและโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการรักษาเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ จะเป็นกุญแจสำคัญในการใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ ทั้งนี้ ความสำเร็จในการดึงดูดการลงทุนจะขึ้นอยู่กับความสามารถของไทยในการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค และการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก เมื่อกลับมาที่การลงทุนในตลาดหุ้นไทย

ผมประเมินช่วงแรกของการเกิดสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ อาจทำให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนระยะสั้น โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ แต่จะเป็นการเปิดโอกาสให้กับหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมฯ และรวมไปถึงหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image