หอการค้าจับมือ 28 ภาคี แก้สินค้าเกษตรราคาตก เพิ่มมูลค่าการตลาด

หอการค้าจับมือ 28 ภาคี แก้สินค้าเกษตรราคาตก เพิ่มมูลค่าการตลาด ระบุเป็นอุตฯใหญ่ของประเทศส่งออกกว่า 1.5 ล้านล./ปี

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการคนที่ 1 หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย 28 หน่วยงาน ได้ลงนามความร่วมมือเรื่องการขับเคลื่อนศูนย์ประสานงานและประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรและอาหาร เพื่อแก้ไขวิกฤตของภาคเกษตรและอาหารในภาวะที่สินค้าเกษตรล้นตลาดและราคาตกต่ำให้เป็นรูปธรรม พัฒนาแนวทางการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตเกษตรกร รวมทั้งคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันภาคเกษตรและอาหาร เนื่องจากเป็นภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งมีประชากรที่อยู่ในภาคเกษตร จำนวน 7.8 ล้านครัวเรือน และกำลังแรงงานภาคเกษตรประมาณ 12 ล้านคน โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.50 ล้านล้านบาทต่อปี จึงถือว่าภาคเกษตรและอาหารเป็นอีกหนึ่งแหล่งรายได้ที่สำคัญของประเทศ

“ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า ภาคเกษตร ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในด้านรายได้ ผลผลิต และคุณภาพ ด้วยปัจจัยภายในและภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ อาทิ ความผันผวนของสภาพอากาศ  ปัญหาภัยแล้ง โรคระบาดในสัตว์บก สัตว์น้ำ รวมไปถึงโรคระบาดในพืช ส่งผลให้สินค้าเกษตรล้นตลาดและราคาตกต่ำ ตลอดจนการแข่งขันในตลาดส่งออกของโลกที่มีแนวโน้มรุนแรงสูงขึ้น จากกฎระเบียบและมาตรการทางการค้าระหว่างประเทศที่เป็นอุปสรรค ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อผลผลิต และรายได้ของเกษตรกรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงต้องมีการเข้าไปดูแลในส่วนต่างๆ เหล่านี้” นายพจน์ กล่าว

ADVERTISMENT

นายพจน์ กล่าวว่า ความร่วมมือนี้แบ่งเป็นด้านภาคีหน่วยงานภาครัฐ โดยดำเนินการ 4 ด้าน ได้แก่ 1.รวบรวมข้อมูลผลผลิตสินค้าเกษตรตามฤดูกาล เพื่อเป็นฐานข้อมูลกลางและนำมาใช้ข้อมูลร่วมกัน 2.รวบรวมผลวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์สินค้าเกษตรทุกประเภท เพื่อเตรียมความพร้อมในการประสานงานและประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรในกรณีที่ล้นตลาดและราคาตกต่ำไปยังผู้แปรรูปและผู้จัดจำหน่ายโดยตรง 3.ส่งเสริมแนวทางยกระดับด้วยการพัฒนาตลาดล่วงหน้าและวิจัยเพื่อแปรรูปสินค้าเกษตรในกรณีที่ล้นตลาดและราคาตกต่ำ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรทั้งห่วงโซ่อุปทาน 4.ประชาสัมพันธ์ภารกิจของศูนย์ประสานงานและประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรและอาหาร ในราชการส่วนภูมิภาคและเอกชนที่เกี่ยวข้องทุกพื้นที่

นายพจน์ กล่าวว่า ในส่วนภาคีหน่วยงานภาคเอกชน ดำเนินการ 3 ด้าน ได้แก่ 1.นำผลวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์สินค้าเกษตรที่ล้นตลาดและราคาตกต่ำ วางแผนช่องทางการตลาดเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรกระจายสินค้าไปยังผู้บริโภคและโรงงานแปรรูป 2.ส่งเสริมแนวทางยกระดับด้วยการพัฒนาตลาดล่วงหน้าและวิจัยเพื่อแปรรูป กรณีล้นตลาดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรทั้งห่วงโซ่อุปทาน และ 3.ประชาสัมพันธ์ภารกิจของศูนย์ประสานงานและประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรและอาหาร ไปยังเครือข่ายภูมิภาคทุกพื้นที่ เพื่อให้ความร่วมมือกับศูนย์ประสานงานและประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรและอาหาร นอกจากนี้ ภาคีเครือข่ายได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานและประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรและอาหารหรือศูนย์ AFC (Agriculture and Food Coordination and Public Relations Center) ขึ้น เพื่อทำหน้าที่ประสานงานและประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรและอาหารทั่วประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาดและราคาตกต่ำ ผ่านความร่วมมือทั้งรัฐและเอกชน

ADVERTISMENT

นายพจน์ กล่าวว่า ภายใต้ความร่วมมือการขับเคลื่อนศูนย์ AFC ได้ริเริ่มช่วยเหลือเกษตรกรและแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาดและราคาตกต่ำแล้ว อาทิ 1.สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย ได้นำร่องความร่วมมือการรับซื้อวัตถุดิบ สัตว์น้ำกลุ่มปลาโอของไทยจากเรือประมงไทย ร่วมกับ สมาคมประมงอวนล้อมจับ (ประเทศไทย) เพื่อผลักดันและสนับสนุนการใช้วัตถุดิบสัตว์น้ำกลุ่มปลาโอ จำนวน 20 ล้านกิโลกรัมหรือคิดเป็นมูลค่า 800 ล้านบาท 2.สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย ได้ร่วมมือกับสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ในการรับซื้อวัตถุดิบปลาทะเลเพื่อนำไปผลิตเป็นเนื้อปลาบด (ซูริมิ) ที่ได้จากเรือประมงไทยในน่านน้ำไทย โดยจะรับซื้อวัตถุดิบสัตว์น้ำในราคาที่สูงขึ้น 1-2 บาทต่อกิโลกรัม 3.สมาคมภัตตาคารไทย ได้ร่วมมือกับสมาคมผู้เพาะเลี้ยงปลาทะเลไทย ในการส่งเสริมและยกระดับการบริโภคปลากะพงขาวของไทย เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรกระจายสินค้าไปยังสมาชิกสมาคมภัตตาคารไทยและผู้บริโภคโดยตรง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image