พิษเศรษฐกิจ กู้แบงก์ไม่ผ่านพุ่ง อสังหาฯเบรกเปิดโครงการใหม่ เทขายบิ๊กล็อต
ยังคงต้องจับตาสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลัง ยังเหลืออีก 5 เดือน จะออกมาดิ่งหนักกว่าเดิมหรือเสมอตัว
ด้วยสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ยังคงซบเซา ขณะที่ปัญหาเก่า “กู้แบงก์ไม่ผ่าน” ยังคงสูง 50-70% ยังมาเจอปัญหา “กู้ผ่านแต่ไม่ซื้อ” เป็นโจทย์ใหม่ท้าทายเพิ่ม
ท่ามกลางความไม่แน่นอน ไม่ว่าเศรษฐกิจที่ยังไม่ได้รับการกระตุ้นและกำลังซื้อที่ยังไม่กระเตื้องนั้น มีผู้ประกอบการหลายบริษัทเริ่มปรับแผนเบรกลงทุนโครงการใหม่ไปในปี 2568
นายอิสระ บุญยัง นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่าดูจากยอดรีเจ็กต์เรตที่ยังสูงกว่า 50% ดังนั้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ผู้ประกอบการคงเน้นระบายสต๊อกเก่า ชะลอพัฒนาโครงการใหม่ทั้งแนวราบ และแนวสูง รวมถึงชะลอการซื้อที่ดิน เพื่อป้องกันความเสี่ยง และรักษากระแสเงินสด เนื่องจากครึ่งปีหลังยังมีปัจจัยท้าทายรออยู่ ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจ และมาตรการภาครัฐที่จะออกมาก็ยังไม่รู้จะขับเคลื่อนหรือผ่อนคลายอะไรบ้าง
นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทปรับแผนปี 2567 ใหม่เน้นสร้างรายได้จากโครงการที่ยังอยู่ระหว่างการขายประมาณ 50 โครงการ และเปิดตัวใหม่แค่ 1 โครงการ มูลค่า 2,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวราคา 10-18 ล้านบาทจากเดิมตั้งเป้าเปิด 7 โครงการ มูลค่า 7,700 ล้านบาท ส่วนอีก 6 โครงการ มูลค่า 5,000 ล้านบาท เลื่อนไปเปิดปี 2568 ซึ่งเป็นแนวราบทั้งหมด
เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่ดี หนี้ครัวเรือนสูง และธนาคารเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ส่งผลให้ปัจจุบันยอดรีเจ็กต์เรตของภาพรวมรวมตลาดเพิ่มขึ้นเกือบทุกระดับราคา โดยกลุ่มราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท อยู่ที่ 70% ราคา 3-6 ล้านบาท อยู่ที่ 50% ราคา 7-10 ล้านบาท อยู่ที่ 10% นอกจากนี้ธนาคารยังเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้พัฒนาโครงการมากขึ้นด้วย จึงทำให้หลายบริษัทต้องชะลอการพัฒนาโครงการใหม่ในครึ่งปีหลังนี้
“ปัญหาใหญ่ของตลาดอสังหาฯในขณะนี้ คือ คนไม่มีกำลังซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มรากหญ้าที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิดที่รายได้ยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่หนี้ครัวเรือนสูงขึ้นทุกปี ทำให้อำนาจในการซื้อของคนไม่กลับมา โดยเฉพาะทาวน์เฮ้าส์และคอนโดราคาต่ำ 3 ล้านบาทที่มีปัญหาหนักมาก ในส่วนของเพอร์เฟคเอง ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาในแง่ของยอดขายก็ยังไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งปี 13,000 ล้านบาท โดยสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 70% และคาดว่าตลอดปี 2567 จะมียอดขายประมาณ 10,000 ล้านบาท “นายวงศกรณ์กล่าว
นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบหลายรายที่พลิกกลยุทธ์การทำตลาด นอกจากจัดโปรโมชั่นแล้ว ยังมีเปิดดีลขายบิ๊กล็อตแบบ B2B เจาะลูกค้าองค์กร บริษัทและตลาดต่างชาติ เพื่อเร่งสร้างยอดขายและรายได้ให้เข้าเป้า หลังครึ่งปีแรกที่ผ่านมายอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ลดลงกันถ้วนหน้า
ไม่ว่า บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) ก่อนหน้านี้ขนคอนโดพร้อมอยู่แนวรถไฟฟ้าเทขายบิ๊กล็อต ด้าน “บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์คอร์ปอเรชั่น จำกัด ” หรือ MQDC นำคอนโดหรู “วิสซ์ดอม คราฟท์ สามย่าน” ขายให้กับ “ไนท์สบริดจ์ พาร์ทเนอร์ส” ที่ซื้อเหมา 100 ยูนิต มูลค่า 1,700 ล้านบาท และคอนโดหรู”วิสซ์ดอม เดอะ ฟอเรสเทียส์ มายโทเปีย” ย่านบางนาตราด ขายบิ๊กล็อต 3,000 ล้านบาท ให้กับบริษัท ซูเปอร์ สยาม เรียลตี้ จำกัด เพื่อทำตลาดต่างประเทศ
ขณะที่ บริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เจ้าตลาดคอนโดในยุควันวาน ประกาศชัดทิศทางบริษัทในครึ่งปีหลัง เน้นจัดการสินค้าคงเหลือ จากครึ่งปีแรกที่ลดไปได้ 2,000 ล้านบาท หรือ 55% ของเป้าที่วางไว้ รวมถึงมีขายยกล็อตโครงการลุมพินี เพลส พระราม 3-ริเวอร์ไรน์ มูลค่า 600 ล้านบาท โดยได้สร้างการรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/2567 ที่ผ่านมา
ล่าสุด บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เพิ่งปิดดีลขายบิ๊กล็อตคอนโดมิเนียม 2 โครงการ รวม 415 ยูนิต มูลค่า 1,023 ล้านบาท โดยเป็นการขายแบบ B2B ให้กับบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากประเทศไต้หวัน ที่ซื้อให้พนักงานอยู่อาศัยระหว่างทำงานในประเทศไทย ถือว่าเป็นการช่วยสร้างทั้งยอดขายและยอดโอนให้แก่บริษัทได้อย่างรวดเร็วกว่าการขายปกติ ส่งผลดีต่อการบริหารจัดการสภาพคล่อง ช่วยให้รอบของการใช้เงินทุนสั้นลงและหลังปิดดีลการขายของ 2 คอนโดมิเนียมนี้แล้ว เตรียมขยายดีลเพิ่มอีกหลายทำเล เช่น อีอีซี เป็นต้น จากก่อนหน้านี้ออริจิ้นมีขายยกตึกและยกชั้นให้กับนักลงทุนไปบ้างแล้ว