ธุรกิจร้านอาหาร รถทัวร์ไทย ผวา’ทุนจีน’กินรวบ จี้รัฐตั้งรับด่วน ก่อนเจ๊งระนาว
แหล่งข่าวจาก วงการธุรกิจรถโดยสาร เปิดเผยว่า ขณะนี้เริ่มมีบริษัทจากประเทศจีน ซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิตและเดินรถ เริ่มเข้ามาเจรจากับผู้ประกอบการไทย โดยสนใจจะขอซื้อกิจการ เพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจและขยายตลาดมายังประเทศไทย หลังจากผู้ประกอบการไทยหลายรายมีปัญหาธุรกิจที่ไม่สามารถไปต่อได้ เนื่องจากประสบปัญหาขาดทุน รวมถึงมีภาระต้นทุนสูงขึ้น จึงทำให้ไม่มีเงินทุนสำหรับปรับปรุงตัวรถหรือเดินหน้าธุรกิจ หากจะขอกู้เงินจากธนาคารต้องมีกำไร 2 ปีเป็นอย่างน้อย ทางธนาคารถึงจะปล่อยกู้ให้
“ทางจีนเขาสนใจจะนำรถโดยสารที่เป็นรถอีวีมาขยายธุรกิจที่ประเทศไทย ซึ่งต้องยอมรับว่าปัจจุบันสถานการณ์ธุรกิจรถโดยสารในไทย ไม่ค่อยดีมานานแล้ว และผู้ประกอบการของไทยเอง มีจำนวนมากที่ประสบปัญหา และต้องการจะขายกิจการ ขณะนี้มีรถโดยสารหายไปจากระบบ 50%” แหล่งข่าวกล่าว
น.ส.ประภัสสร รังสิโรจน์ นายกสมาคมร้านอาหารไทยและสตรีทฟู้ด เปิดเผยว่า การเข้ามาของกลุ่มทุนจีน ส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนของภาคการท่องเที่ยวทั้งหมด รวมถึงธุรกิจร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวด้วย เนื่องจากทุนจีนที่เข้ามา จะมาทำเองเบ็ดเสร็จ เหมือนทัวร์ศูนย์เหรียญ คือ มาเที่ยวและมากินอาหารในร้านของคนจีนด้วยกัน ซึ่งขณะนี้เริ่มกลับมาให้เห็นบ้างแล้ว หลังจากการท่องเที่ยวกลับมาคึกคักหลังโควิดคลี่คลาย
“อยากให้ภาครัฐลงมาดูพื้นที่จริงอย่างจริงจังว่าภาคธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง ซึ่งจริงๆ ธุรกิจร้านอาหาร ต้องสงวนไว้สำหรับคนไทย และจากปัจจุบันด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวและกำลังซื้อที่หายไป 50% ทำให้ธุรกิจร้านอาหารมีการปิดกิจการไปถึง 50% อย่างไรก็ตามแม้จะมีปิดตัวไป แต่ก็มีรายใหม่เข้ามา เพราะธุรกิจร้านอาหาร เป็นธุรกิจที่เปิดง่าย และเจ๊งง่ายเช่นกัน ถ้าสายป่านไม่ยาวพอก็ยากที่จะไปต่อ” น.ส.ประภัสสรกล่าว
น.ส.ประภัสสรกล่าวว่า ในครึ่งปีหลังนี้ยังมีปัจจัยที่น่าเป็นห่วง คือ แนวโน้มของภาวะเศรษฐกิจ ยังไม่รู้จะดีขึ้นหรือแย่ลงขนาดไหน เพราะนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่จะออกมาก็ยังไม่ค่อยชัดเจน นอกจากนี้ยังมีเรื่องของค่าแรงขั้นต่ำที่จะปรับขึ้น 400 บาท ค่าพลังงาน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนธุรกิจ และไม่เอื้อต่อภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ยังคงซบเซา ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่าถึงสิ้นปี 2567 นี้สถานการณ์ธุรกิจร้านอาหารน่าจะสาหัสมากกว่านี้ ซึ่งเมื่อเราอ่อนแอ จะทำให้มีกลุ่มทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนเข้ามาช้อนซื้อทรัพย์สิน เพื่อทำธุรกิจของเขา
นายอิสระ บุญยัง นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยถึงกรณีสินค้าจีนเข้ามาตีตลาดประเทศไทยว่า ภาครัฐต้องหาวิธีการป้องกันและปกป้อง เพื่อช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทย โดยวิธีการ 1.มีการตั้งกำแพงภาษีบางรายการได้ที่อยู่นอกเหนือข้อตกลงเอฟทีเอได้หรือไม่ 2.ตั้งซอฟต์โลนสำหรับผู้ประกอบการภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าประเภทเดียวกัน 3.ผู้ประกอบการเองต้องมีการปรับตัว เช่น นำเข้าเครื่องจักรจากจีนเข้ามา เพื่อลดต้นทุนการผลิต และทำให้ราคาสินค้าถูกลง เนื่องจากหากสู้ด้วยสินค้าสำเร็จรูปแล้ว คงไม่สามารถสู้ได้ เพราะสินค้านำเข้าจากจีนจะมีราคาที่ถูกกว่ามาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภาครัฐจะใช้กลไกไหนในการแก้ปัญหา เพื่อลดผลกระทบได้
นายอิสระกล่าวต่อว่า ในส่วนของของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จากจีนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยนั้น ไม่ค่อยกังวลมากเท่ากับสินค้าอุปโภคบริโภคที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยมากกว่า เนื่องจากต่างชาติไม่สามารถซื้อที่ดินได้ นอกจากการเช่าระยะยาว และต้องดำเนินการตามกฎหมายไทย ร่วมทุนกับคนไทย ถึงจะดำเนินธุรกิจได้ แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ มาในรูปแบบนอมินี ซึ่งภาครัฐก็ต้องมีการตรวจสอบตรงนี้อย่างเข้มข้น