หุ้นพุ่งต่อเนื่อง 1,427 จุด ทุบสถิติรอบ 19 เดือน เอกชนปลื้มรัฐบาลอิ๊งค์ มั่นใจ ‘พิชัย’ คุมทีมเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่ 6 กันยายน นายกิตติ พรศิวะกิจ กรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประธานกรรมการ Smart Tourism สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และนายกสมาคมการตลาดท่องเที่ยว เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ดูทันสมัย เพราะมีคนรุ่นใหม่มากขึ้น เหมาะกับยุคที่ประเทศต้องเร่งเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลสู่ความยั่งยืน และสู่ยุคที่เราต้องประกาศความเป็นผู้นำโลกด้านอาหาร การท่องเที่ยวและสุขภาพ สิ่งที่จะฝากกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ ครม.ชุดใหม่มี 8 ข้อ ได้แก่ 1.เร่งเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและนวัตกรรมทั้งผู้ประกอบการ พนักงาน และนักศึกษา 2.การเพิ่มสภาพคล่องและการเข้าถึงแหล่งทุนต่างๆ 3.การวางแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบ 4 สมดุล 5.เริ่มเก็บภาษีท่องเที่ยว 300 บาท สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 6.การตั้ง Tourism Warroom 7.เร่งปราบนอมินี
ต่างชาติ และไกด์เถื่อน และ 8.ระยะสั้น เดือนนี้เข้าสู่โลว์ซีซั่นต่ำสุดของปี ต้องเร่งทำ Joint-Promotion ร่วมกับเอกชน
“คาดว่าปี 2567 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 37 ล้านคน อาจจะเพิ่มได้ถึง 38 ล้านคนได้ หากมีนโยบายที่จริงจัง และเติมความพร้อมให้ผู้ประกอบการอย่างเป็นระบบ” นายกิตติกล่าว
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เห็นด้วยอย่างยิ่งที่มอบหมายให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าทีมด้านเศรษฐกิจ ส่วนนี้ภาคเอกชนเห็นว่าจำเป็นต้องมีคนทำหน้าที่กำกับดูแล และบูรณาการการทำงานข้ามกระทรวง
ทั้งนี้ สิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการคือ 1.มาตรการเยียวยา และกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือปากท้องของประชาชน 2.การลดค่าครองชีพให้กับประชาชนและดูแลต้นทุนของผู้ประกอบการเพราะยังไม่ฟื้นตัวทั้งค่าไฟฟ้า ค่าแรง ค่าน้ำมัน 3.สานต่อการเจรจากับต่างประเทศในหลายเรื่องที่ยังค้างอยู่ ทั้งการดึงดูดการลงทุน การเจรจาการค้า และ 4.สร้างความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในประเทศ โดยเฉพาะประเด็นสินค้าต่างประเทศที่ไม่มีคุณภาพ และราคาถูกเข้ามาตีตลาดไทย โดยหอการค้าได้เสนอแผนผลักดัน ตั้งรับ และจับมือ ให้รัฐบาลไปแล้ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้หอการค้าพร้อมทำงานร่วมกับทีมเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อขับเคลื่อนประเด็นเหล่านี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า จากรายชื่อ ครม.ชุดใหม่ สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนเพิ่มมากขึ้น สะท้อนจากตลาดหุ้นปรับขึ้นทะลุ 1,400 จุด หลังมีรัฐบาลชุดใหม่ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เนื่องจากการจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจต้องเกิดจากความเชื่อมั่น ดังนั้น คาดหวังหลังจากนี้น่าจะมีการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ออกมาได้ชัดเจน และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น รวมถึงโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟสแรก กว่า 1 แสนล้านบาทที่จะนำมากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นในช่วงที่เหลือของปี 2567
นายบุญรพี ดำรงรัตน์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า สถานการณ์การตลาดนักท่องเที่ยวจีนเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง หากเทียบช่วงก่อนเกิดโควิดเมื่อปี 2562 เป็นช่วงพีคสุดของการท่องเที่ยวไทยที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย 39 ล้านคน จีนครองอันดับหนึ่งที่เดินทางเข้าไทยมากสุดถึง 11 ล้านคน มณฑลกวางตุ้งถือว่ามีสัดส่วนเฉลี่ยมากสุด หรือคิดเป็นจำนวน 2.3 ล้านคน โดยปี 2567 ททท.คาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางเข้าไทย จำนวน 7.5 ล้านคน ตามเป้าหมาย และจะพยายามทำให้ได้ตามเป้านโยบายของรัฐบาลที่ 8 ล้านคน ซึ่งตลาดกวางตุ้งยังถือเป็นอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าไทยมากสุด คาดว่าปีนี้จะมีสัดส่วน 1.5 ล้านคน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหุ้นไทย ในวันที่ 6 กันยายน 2567 เคลื่อนไหวในแดนบวก โดยเปิดตลาดภาคเช้าระดับ 1,404.28 จุด ปิดตลาดภาคบ่ายระดับ 1,427.64 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 23.36 จุด หรือบวก 1.66% จากวันก่อน โดยดัชนีทำจุดสูงสุดระดับ 1,431.24 จุด และทำจุดต่ำสุดระดับ 1,412.76 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 107,404.36 ล้านบาท ถือเป็นครั้งแรกที่มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยปรับขึ้นมายืนเหนือ 1 แสนล้านบาทในรอบ 1 ปี 7 เดือน นับจากวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งเคยสูงถึง 114,246.34 ล้านบาท
นายรักพงศ์ ไชยศุภรากุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยและกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันที่ 6 กันยายน ดัชนีหุ้นแกว่งขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 อย่างร้อนแรงไม่ต่างวันก่อนหน้า โดยปัจจัยสนับสนุนจากแผนออกกองทุนวายุภักษ์รอบใหม่ จะเปิดขายรายย่อย ระหว่างวันที่ 16-20 กันยายน และขายนักลงทุนสถาบัน ระหว่างวันที่ 18-20 กันยายน คาดหวังเม็ดเงิน 1.5 แสนล้านบาท เข้าตลาดช่วงเดือนตุลาคม 2567 รวมทั้งมาตรการแจกเงิน 1.4-1.5 แสนล้านบาท ที่ ครม.จะแถลงนโยบายในวันที่ 11 กันยายนนี้ ดัชนีจึงยังปรับขึ้นต่อ เพราะปัจจัยโดยรวมยังคงเป็นบวก อาทิ ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ตามความคาดหวังต่อการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหัฐ (เฟด) ที่กดให้สกุลเงินดอลลาร์อ่อนต่อเนื่อง และหากตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐออกมาอ่อนแอ น่าจะกดดันดอลลาร์เพิ่มเติม และดันเงินบาทแข็งค่ามากขึ้นไปอีก
“การเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นในเดือนกันยายน 2567 ประเมินว่ายังฟื้นตัวต่อจากครึ่งหลังของเดือนสิงหาคม ตามปัจจัยบวก ทั้งความคาดหวังต่อแนวนโยบายเศรษฐกิจของ ครม.ชุดใหม่ ความชัดเจนของการออกกองทุนวายุภักษ์ รวมทั้งภาพตลาดการเงินโลกที่ยังเป็นบวก จากการที่เฟดเตรียมปรับลดดอกเบี้ย” นายรักพงศ์กล่าว