การบ้านขุนคลัง ‘ครม.อิ๊งค์1’ ลุ้นปาฏิหาริย์กองทุนวายุภักษ์ เข็นหุ้นไทยทะยาน 1,800 จุด

การบ้านขุนคลัง‘ครม.อิ๊งค์1’ ลุ้นปาฏิหาริย์กองทุนวายุภักษ์ เข็นหุ้นไทยทะยาน1,800จุด

บรรยากาศตลาดทุนไทย กลับมาคึกคักอีกครั้งนับได้ว่ามากกว่าช่วง 8 เดือนที่ผ่านมารวมกัน โดยเฉพาะตลาดหุ้น ดูจากดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นมากภายใน 2 วัน ดัชนีปรับขึ้นกว่า 74 จุดและภายในช่วงเพียง 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม ถึงปัจจุบัน พบว่าดัชนีปรับขึ้นแล้วมากกว่า 150 จุด ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ได้เห็นยาวนาน นับตั้งแต่ปลายปี 2566 เป็นต้นมา ที่ดัชนีหุ้นไทยวิ่งในแดนลบ และปรับลดลงในแต่ละช่วงเป็นหลัก

เมื่อหุ้นไทยเริ่มส่งสัญญาณกลับหัวขึ้น มาวิ่งในแดนบวกได้บ้างแล้ว ถือเป็นความหวังใหม่ของเหล่าแมงเม่าพร้อมเข้ากองไฟอีกครั้ง ทั้งเหล่าเม่าที่ติดดอย หรือซื้อหุ้นไทยในช่วงราคาสูงๆ ไม่สามารถขายออกได้ เพราะนอกจากจะไม่มีกำไรแล้ว ยังทุนหายด้วย หรือนักลงทุนที่ทิ้งหุ้นได้ทัน และอยากเข้าลงทุนใหม่อีกครั้ง สามารถอาศัยจังหวะที่หุ้นเริ่มฟื้นตัว เข้ามาเกาะขบวนรถไปด้วยกันได้ เพื่อป้องกันการตกขบวน แต่คำถามคือ สัญญาณการปรับตัวขึ้นของหุ้นไทยเป็นแค่ชั่วคราว หรือจะยาวนานได้มากเท่าใด แล้วการขึ้นขบวนทัน จะเป็นการขึ้นเพื่อไปสู่ปลายทางขาบวกมีกำไรไปด้วยกัน หรือติดลบไปด้วยกันแน่

⦁โฉมใหม่รบ.กระตุ้นตลาด

ปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น หลักๆ เป็นความคืบหน้าการปลดล็อกสุญญากาศทางการเมือง หลังจากประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เป็น นางสาวแพทอง ธารชินวัตร และคณะรัฐมนตรี (ครม.) แบบครบองค์ประชุมแล้ว ทำให้ความกังวลความไม่แน่นอนทางการเมืองหายไป และมีความหวังในด้านมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเข้ามาสนับสนุนแทน อีกปัจจัยหนุนระยะแรก คือ ความคืบหน้าการเปิดจองกองทุนวายุภักษ์ ชัดเจนที่จะเข้ามาสนับสนุนตลาดทุนไทย วงเงินรวมกว่า 1.5 แสนล้านบาท โดยกองทุนวายุภักษ์ 1 ประเภท ก. จะเปิดขายหน่วยลงทุนประเภท ก.ให้ประชาชนรายย่อยจองซื้อ ในวันที่ 16-20 กันยายน 2567 จากนั้น วันที่ 18-20 กันยายน 2567 จะเปิดขายหน่วยลงทุนให้นักลงทุนสถาบัน โดยทราบผลการจัดสรรหน่วยลงทุน แบบ Small Lot First ในวันที่ 23 กันยายน 2567 จากนั้นวันที่ 1 ตุลาคม 2567 กองทุนฯ เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นไทย และในวันที่ 15 ตุลาคม 2567 หน่วยลงทุน VAYU1 เริ่มเข้าซื้อขายในตลาดหุ้น

นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้น จะเป็นหนึ่งตัวช่วยในการเสริมสร้างความมั่งคั่งให้กับคนไทยได้ โดยเฉพาะนักลงทุนไทยที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นทุกๆ 100 จุด จะทำให้ความมั่งคั่งที่คิดมาจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) เพิ่มขึ้น 1.2 ล้านล้านบาท โดยกระทรวงการคลัง คาดหวังจะเห็นดัชนีกลับขึ้นไปยืนที่ระดับ 1,800 จุด มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด อยู่ที่กว่า 20 ล้านล้านบาท ทำให้นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยกลับมามีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น

ADVERTISMENT

⦁นักลงทุนไทยเฮโล

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด ในฐานะนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (ไอเอเอ) และกรรมการสภาธุรกิจตลาดไทย (เฟทโก้) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้ จะมีเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์เข้ามากว่าหลักแสนล้านบาท คนจะเข้ามาซื้อหุ้นไทยมากขึ้น และยังมีเม็ดเงินจากกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน หรือไทยอีเอสจี ที่สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งจะทยอยมีเม็ดเงินเข้ามาในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หุ้นไทยจะคึกคักมากขึ้นไปอีก คนอาจเข้ามาเร็วกว่าที่คาดไว้ด้วย เพราะนักลงทุนคงไม่อยากรอจนถึงปลายปีแล้วค่อยทยอยเข้าซื้อลงทุนในตัวหุ้น เพราะกลัวว่าหุ้นจะแพงกว่านี้

ประเมินแล้วในช่วงที่เหลือของปี 2567 ดูแล้วอุปสรรคไม่ได้เยอะ มีตัวช่วยเยอะมากกว่า เศรษฐกิจจะได้รับผลเชิงบวกจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดี และการส่งออกที่ดีกว่าคาดการณ์ไว้ รวมถึงเมื่อตลาดหุ้นไทยสามารถฟื้นตัวได้ ซึ่งเป็นตัวสร้างการหมุนเวียนของเม็ดเงินได้สูงที่สุด จากการบริโภคในประเทศที่แทบไม่ต้องใช้เม็ดเงินงบประมาณ เพราะหากประเมินนับตั้งแต่โควิดระบาด พบว่ามูลค่าตลาดหุ้นไทยปรับลดลงกว่า 5 ล้านล้านบาท ซึ่งนับเป็นกำลังซื้อที่หายไป 5 ล้านล้านบาท ถือเป็นตัวเลขที่ไม่ใช่เล่นๆ แน่นอน เทียบกับขนาดโครงการดิจิทัลวอลเล็ต มีมูลค่ามากกว่าคิดเป็นสัดส่วนกว่า 10 เท่าตัว หากสามารถดึงกลับขึ้นไปได้ประมาณ 1 ล้านล้านบาท จากเม็ดเงินที่จะเข้ามาในช่วงต่อจากนี้ถือว่าสร้างผลทางเศรษฐกิจได้แบบทวีคูณมากกว่าดิจิทัลวอลเล็ตเยอะ รวมถึงกลุ่มคนเหล่านี้ถือเป็นกลุ่มที่ใช้จ่ายจริง ทั้งการลงทุนต่างๆ ด้วย จึงเกิดผลบวกต่อเศรษฐกิจได้สูงมาก ทำให้หากมีเม็ดเงินในตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง หุ้นไทยเป็นขาขึ้นเรื่อยๆ รับรองว่าจะมีการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจที่ดีขึ้น คนกล้าจับจ่ายใช้สอย มีความมั่นใจมากกว่าเดิม

⦁ตั้งต้นนับ‘ศูนย์ใหม่’อีกรอบ

ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นมาในตอนนี้ เป็นการปรับตัวขึ้นมาในจุดเดิม เพราะช่วงที่ผ่านมาปรับลดลงไปหลายร้อยจุด เทียบกับช่วงปลายปี 2566 ที่ดัชนีอยู่ประมาณ 1,416 จุด ถือว่ายังไม่ไปไหน ขณะนี้ ณ วันที่ 7 กันยายน 2567 ดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 1,427.64 จุด บวกกว่าเดิมเพียง 10 จุดเท่านั้น เท่ากับว่ายังไม่ไปไหน และหากกลับไปพิจารณาในช่วงก่อนหน้านั้นไม่กี่เดือน พบว่าดัชนีขึ้นไปที่ระดับ 1,500 จุด จึงถือว่าติดลบอยู่ ทั้งที่ปีนี้เป็นปีที่หุ้นไทยไม่ควรติดลบแล้ว แต่ก็เห็นการซึมตัวของหุ้นไทยให้ผลตอบแทนติดลบ และทำระดับต่ำสุดที่ระดับ 1,274 จุด ในช่วงวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา ถือเป็นการปรับตัวต่ำสุดนับตั้งแต่โควิดคลายตัวลงด้วย ทั้งที่ตลาดรับรู้ว่าดัชนีปรับตัวลดลงต่ำกว่ามูลค่าจริงของหุ้นไทยสูงมาก แต่ยังเห็นการปรับตัวลง ทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็นการตั้งตัวใหม่นับจากศูนย์ ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นบวกขึ้นไปแล้วกว่า 15% จึงต้องรอดูว่าจะไปได้ไกลมากเท่าใด ตอนนี้จึงยังไม่ต้องตื่นเต้นอะไรกันมากนัก

ความจริงในโลกปัจจุบันนี้ หมดยุคของการมีกองทุนพยุงหุ้นแล้ว แต่ประเทศไทยยังมี ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะมองในแง่การเก็บออม ที่ฝึกให้ประชาชนออมเงินกับการลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้น จึงไม่ได้มองว่ากองทุนวายุภักษ์ จะเป็นกองทุนเพื่อพยุงหุ้นไทยมากขนาดนั้น แต่เป็นการปกป้องส่วนของการดาวน์ไซด์หุ้น หรือช่วงของการปรับลดลง เมื่อเข้าไปลงทุนในหุ้นไทยแล้ว มีการการันตีผลตอบแทนให้ในรูปแบบเงินปันผลตามกำหนดไว้ ภายใต้ผลตอบแทนตามจริงแต่สูงสุดไม่เกินที่กำหนดไว้เช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เม็ดเงินลงทุนหายไปอย่างแน่นอน

⦁‘วายุภักษ์’สร้างปาฏิหาริย์

ด้าน นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) หรือสายวีไอ เปิดเผยว่า การมีกองทุนวายุภักษ์ จะเปิดให้ประชาชนจองซื้อได้ในวันที่ 16-20 กันยายนนี้ประเมินว่าน่าจะช่วยพยุงตลาดหุ้นไทย และสามารถดันดัชนีได้ดี เพราะขณะนี้มีความสนใจของนักลงทุนและประชาชนในการเข้าซื้อกองทุนจำนวนมาก โดยวงเงินที่จะเข้ามาในตลาดหุ้นไทยเพิ่มกว่า 1.5 แสนล้านบาท เม็ดเงินนี้ต้องมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยบ้างแล้ว หลังจากที่ผ่านมาเม็ดเงินหายไป โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิกว่า 109,252.32 ล้านบาท ตั้งแต่ต้นปี2567 ถึงปัจจุบัน อย่างน้อยเราก็สามารถลดผลกระทบจากเม็ดเงินขายสุทธิของต่างชาติได้บ้าง สร้างจิตวิทยาและบรรยากาศที่ดีให้นักลงทุนไทยเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มเติม บังเอิญที่ช่วงนี้เป็นจังหวะที่เรื่องดีๆ หลายเรื่องมาบรรจบกันพอดี จึงสร้างปาฏิหาริย์ให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นกันเป็นแถวได้

แต่กรณีที่นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มองว่าจะพาดัชนีหุ้นไทยวิ่งไปถึง 1,800 จุดได้ คิดว่าคงเป็นระดับที่ไกลเกินไป ตอนนี้เริ่มมีความเชื่อมั่นสูงมาก ทุกคนมองโลกในแง่ดีมาก เป็นจุดที่ต้องระมัดระวัง เพราะโดยส่วนตัวไม่ได้หวังอะไรมากนัก มองว่า หากหุ้นไทยปรับขึ้นไปบวกได้ 10% เทียบกับต้นปี 2567 ที่ผ่านมา ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว เพราะสิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ประมาณ 1,415 จุด เท่ากับระดับปัจจุบัน หากเพิ่มอีก 10% ก็บวกประมาณอีก 100 กว่าจุด

“ความรู้สึกของนักลงทุน แม้แต่กลุ่มที่เคยเทขายมากๆ นาทีนี้ น่าจะกลับมาเข้าซื้อสะสมอีกครั้งได้ ทำให้เกิดแรงซื้อเพิ่มเป็นทวีคูณขึ้น จึงเกิดปรากฏการณ์ที่หุ้นไทยปรับตัวขึ้นเป็น 10% ภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือน แต่ต้องจับตามองในระยะถัดไปว่าผลจากบรรยากาศที่ดีเหล่านี้ จะสนับสนุนให้หุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ยาวมากเท่าใด รวมถึงปัจจัยอื่นๆ อาจมีผลกระทบด้วย ซึ่งนักลงทุนต้องวิเคราะห์ต่อไปว่าจะเป็นไปในทิศทางใด” นายนิเวศน์กล่าว

⦁เทรนด์ต่างชาติยังเทขาย

แนวโน้มการกลับมาของเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) จะกลับเข้ามาหรือไม่ในช่วงที่มีเม็ดเงินทุนจากนักลงทุนไทยเข้ามาส่งเสริมดัชนีหุ้นมากขึ้น มองว่านักลงทุนต่างชาติคงไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก การลงทุนก็คงเป็นไปตามนักลงทุนไทยที่มีความมั่นใจเข้ามาซื้อหุ้นไทยมากขึ้น แต่ต่างชาติอาจขายสุทธิต่อก็ได้ เพราะหุ้นขึ้นก็อาจเป็นโอกาสในการขายของที่ถือไว้ออก เพื่อลดขนาดพอร์ตการถือครองลง เพราะนักลงทุนต่างชาติที่เรามองไว้ว่ามีการซื้อขายในหุ้นไทย แต่อาจเป็นเพียงเอ็นวีดีอาร์ หรือใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทยของนักลงทุนต่างชาติ ให้เข้ามาถือหุ้นในประเทศไทยได้สะดวกขึ้น แต่นักลงทุนไทยก็สามารถถือครองเอ็นวีดีอาร์ได้ด้วยเช่นกัน จึงอาจแยกการลงทุนผ่านเอ็นวีดีอาร์ได้ยาก ว่าจะเป็นต่างชาติหรือคนไทย อาจไม่ใช่นักลงทุนต่างชาติ 100% ก็ได้

การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยรอบใหม่นี้ จะดึงเม็ดเงินลงทุนต่างชาติเข้ามามากกว่าเดิม อันนี้อย่าเพิ่งไปหวังมากนัก เพราะทิศทางในระยะยาวยังคงเป็นการขายหุ้นไทยอยู่ จากที่ขายมาตลอดอย่างต่อเนื่อง ในรอบนี้อาจเป็นการชะลอการลงทุนเพื่อดูการปรับขึ้นก่อน ในจุดที่เหมาะสมและพอใจแล้วอาจขายออกมาเพื่อทำกำไรเพิ่มเติมให้มากขึ้นก็ได้ ตราบใดที่ประเทศไทยยังไม่มีการปฏิรูปประเทศให้มีโครงสร้างเศรษฐกิจที่สามารถเติบโตได้ในระยะยาว นักลงทุนต่างชาติก็ยังคงไม่เปลี่ยนมุมมองกับการลงทุนในไทย จึงอย่าเพิ่งตื่นเต้นเกินไป ขณะนี้มองว่ายังไม่เพียงพอที่จะบอกว่านักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยแล้ว

จากข้างต้น ทั้งนักวิเคราะห์และกูรูตลาดทุนไทย ต่างให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน หุ้นไทยที่ปรับขึ้นรอบนี้ เป็นการกลับมาสู่จุดเดิม วัดใจกันที่สุดท้ายจะวิ่งไปไกลเท่าใด ก็เท่านั้น ฉะนั้นอย่าเพิ่งตื่นเต้นเกิน