กรมประมงยันสหรัฐอเมริกาปลดกุ้งไทย เพิ่ม 3 รายการ แบล๊กลิสต์ ไม่มีผลต่อการส่งออก
เมื่อวันที่ 11 กันยายน นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับรายงานจากสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ว่า ขณะนี้สหรัฐอเมริกาได้ออกรายงานถอดถอนรายการสินค้ากุ้งจากประเทศไทยออกจากบัญชีรายชื่อประเทศที่มีการใช้แรงงานเด็กแล้ว เนื่องจากที่ผ่านมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2565-2566 ประเทศไทยมีความพยายามในการดำเนินการตรวจสอบกิจการประมงและกุ้งเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กและแรงงานภาคบังคับอย่างต่อเนื่อง โดยมีการตรวจแรงงานเชิงรุกและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตกุ้งและกิจการที่เป็นห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ
มีการกำกับดูแลการใช้แรงงานให้ถูกต้องตามกฎหมาย และนำมาตรฐานแรงงานไทยและแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดีไปใช้ในการบริหารกิจการ จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กและแรงงานภาคบังคับร่วมกับ 12 องค์กรภาคเอกชน เพื่อกำกับดูแลแรงงานข้ามชาติและขจัดการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้านแรงงาน และได้จัดทำรายงานสถานการณ์แรงงานเด็กและแรงงานภาพบังคับในสินค้ากุ้งและปลา เพื่อเสนอปลดรายการสินค้าไทยจากบัญชีแบล๊กลิสต์ของสหรัฐอเมริกา
นายบัญชาเผยว่า ด้วยความพยายามดังที่กล่าวมานี้ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่กระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกาได้ประกาศถอดถอนสินค้ากุ้งของไทยออกจากรายงานการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดประจำปี 2567 เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดี ถึงแม้ว่าสหรัฐอเมริกายังคงจัดลำดับให้ประเทศไทยอยู่ในรายชื่อประเทศผู้ผลิตสินค้ากุ้งโดยใช้แรงงานบังคับที่เป็นผู้ใหญ่ และมีการเพิ่มรายการสินค้าไทยซึ่งมีการผลิตโดยใช้แรงงานบังคับอีก 3 รายการ ได้แก่ ปลาป่น น้ำมันปลา และอาหารสัตว์ ก็ตาม ก็มิได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไปสหรัฐอเมริกา
เนื่องจากกระทรวงแรงงานสหรัฐระบุชัดเจนว่า การจัดทำบัญชี รายงานการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดประจำปี 2567 เป็นความพยายามของสหรัฐ เพื่อกระตุ้นให้ประเทศคู่ค้ามีการแก้ไขปัญหาแรงงานเด็กและแรงงานบังคับ ไม่ได้ส่งผลต่อการคว่ำบาตรทางการค้า แต่เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของประเทศไทยในการดำเนินการด้านแก้ไขปัญหาแรงงานภาคการประมงอย่างเข้มแข็ง กรมประมงจะบูรณาการในการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องรวมทั้งผู้ประกอบการด้านการผลิตปลาป่น น้ำมันปลา และอาหารสัตว์ โดยเฉพาะอาหารกุ้ง เพื่อตรวจสอบข้อมูลและอุดช่องว่างที่สหรัฐยังมีข้อกังวลในการใช้แรงงานบังคับกับอุตสาหกรรมการผลิตสินค้า 3 รายการดังกล่าวต่อไป
นายบัญชากล่าวว่า ส่วนข้อกังวลในเรื่องของการค้านั้น จากสถิติการส่งออกปลาป่น น้ำมันปลา และอาหารสัตว์ไปสหรัฐอเมริกา มีปริมาณน้อยมาก โดยระหว่างปี พ.ศ.2563-2566 มีการส่งออกอาหารสำหรับเลี้ยงกุ้ง 48-153 ตัน มูลค่า 17.5-51 ล้านบาท/ปี และไม่มีการส่งออกปลาป่น และน้ำมันปลาไปสหรัฐแต่อย่างใด อีกทั้ง การปรับปรุงแก้ไขพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ตามร่างฯ เป็นการยกเลิกมาตรา 10/1 มาตรา 11 และมาตรา 11/1 ที่เป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวกับแรงงานที่ทำงานในโรงงานประกอบกิจการที่เกี่ยวข้องกับสัตว์น้ำ ปัจจุบัน พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานในงานประมง พ.ศ.2562 กฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล พ.ศ.2565 พระราชกำหนดบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ที่เป็นกฎหมายหลักมีผลบังคับใช้ที่รองรับการคุ้มครองแรงงานในโรงงานครบถ้วนอยู่แล้ว ดังนั้น การยกเลิกบทบัญญัติดังที่กล่าวในกฎหมายประมง จึงเป็นการช่วยลดความซ้ำซ้อนของกฎหมายและก่อให้เกิดความเป็นธรรมในการใช้บังคับ
ทั้งนี้ นายบัญชาเผยว่า ในการปรับปรุงแก้ไขพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ดังกล่าวไม่ได้มีการแก้ไขบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองแรงงานในเรือประมงแต่อย่างใด การนำเรื่องการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายประมงไปเชื่อมโยงกับรายงานการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดประจำปี 2567 จึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยกรมประมงร่วมกับสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยและสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย พร้อมจะให้ข้อเท็จจริงต่อประเทศคู่ค้าและผู้เกี่ยวข้องต่อไป