ประเทศไทยเผชิญปัญหามลพิษทางอากาศอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะในช่วงเวลาวิกฤตของการเกิดสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 (เดือนธันวาคม–พฤษภาคม) ที่มีค่าสูงเกินมาตรฐานบ่อยครั้งและเป็นปัญหาในหลายจังหวัด
หนึ่งในต้นเหตุหลักคือการเผาไหม้ชีวมวล (Biomass Burning) เช่น การเผาวัสดุทางการเกษตร และการลักลอบเผาเพื่อเก็บเกี่ยวอ้อย
ข้อมูลจากคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ระบุว่า ในฤดูการผลิตปี 2566/2567 มีปริมาณอ้อยที่ส่งเข้าหีบโรงงานน้ำตาลอยู่ที่ 82.17 ล้านตัน โดยแบ่งเป็นอ้อยสดจำนวน 57.81 ล้านตัน (คิดเป็น 70.36%) และอ้อยไฟไหม้จำนวน 24.35 ล้านตัน (คิดเป็น 29.64%)
เมื่อเปรียบเทียบกับฤดูการผลิตปี 2565/2566 ที่มีปริมาณอ้อยส่งเข้าหีบโรงงานน้ำตาล 93.89 ล้านตัน แบ่งเป็นอ้อยสดจำนวน 63.63 ล้านตัน (คิดเป็น 67.78%) และอ้อยไฟไหม้จำนวน 30.78 ล้านตัน (คิดเป็น 32.78%)
จะเห็นได้ว่าปริมาณอ้อยไฟไหม้มีอัตราลดลงอย่างต่อเนื่องทุกปี คิดเป็นลดลง 3.14% จากปีการผลิตก่อนหน้า
เป็นผลมาจากกระทรวงอุตสาหกรรมได้ยกระดับในการแก้ไขปัญหาการเผาอ้อยมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการทำนโยบายและมาตรการต่างๆ เช่น การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และมาตรการส่งเสริมให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยใช้รถตัดอ้อย เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม เพื่อยกระดับในการขับเคลื่อนนโยบาย กฎหมาย และมาตรการต่างๆ เพื่อลดการลักลอบเผาอ้อย วิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ เลขาธิการ สอน. ได้วางแผนที่จะนำเอาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศระบบดาวเทียมเข้ามาใช้ในการติดตามร่องรอยการเผาไหม้ในไร่อ้อย
โดยนำเอาระบบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดาวเทียมสำรวจทรัพยากรโลก ร่วมกับการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยปัญญาประดิษฐ์ มาใช้ในการติดตาม ตรวจสอบ และแจ้งเตือนการเผาในพื้นที่ปลูกอ้อยรวมถึงการวิเคราะห์พื้นที่เพาะปลูกอ้อย และการคาดการณ์ปริมาณอ้อยเข้าหีบ ในพื้นที่ต้นแบบระดับจังหวัดเพื่อขยายผลนำไปใช้งานทั่วประเทศได้ต่อไป
ช่วงต้นปีคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม นำโดย เลขาฯวิฤทธิ์ ได้ประชุมรับฟังการนำเสนอเทคโนโลยีระบบดาวเทียมในการแก้ไขปัญหาเรื่องฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทย โดยเฉพาะแนวทางการตรวจสอบพื้นที่เผาไหม้ในไร่อ้อย จากดาวเทียมสำรวจของ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน)
โดยเทคโนโลยีระบบดาวเทียมสามารถประเมินภาวะ PM2.5 ได้โดยการวัดค่าการส่งผ่านรังสีของดวงอาทิตย์ที่ส่องผ่านหมอกและฝุ่นละอองแล้วนำมาแปลงเป็นค่า PM2.5
และยังสามารถติดตามจุดความร้อนและรอยเผาไหม้ หรือที่เรียกว่า Thermal sensors สำหรับการนี้มีอยู่ด้วยกัน 26 ดวง ที่มีขีดความสามารถในการตรวจจับและวิเคราะห์ร่องรอยการเผาไหม้ พร้อมภาพความเปลี่ยนแปลงจากการเผาไหม้ในแปลงอ้อย หรือพื้นที่เกษตรอื่นๆ
นอกจากนั้น ยังสามารถเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มต่างๆ และสามารถระบุพื้นที่ได้ละเอียดถึงระดับรายแปลง จากฐานข้อมูลทะเบียนเกษตรกร รวมทั้งการติดตามประมวลผลรายงานค่า PM2.5 ระบุได้แม่นยำในระดับตำบล อำเภอ จังหวัด ไปจนถึงสามารถคำนวณขนาดพื้นที่เผาไหม้กี่ไร่ และจะแจ้งเตือนเมื่อตรวจพบจุดความร้อนในพื้นที่ได้ด้วย
โดยการตรวจสอบการเผาในพื้นที่ปลูกอ้อย เลขาฯวิฤทธิ์ ระบุว่า จะใช้ข้อมูลจากเทคโนโลยีดาวเทียมและอวกาศ 2 รูปแบบ
1.ข้อมูลจากดาวเทียมตรวจจับความร้อน (Thermal data) เพื่อวิเคราะห์จุดความร้อน (Hotspots)
2.ข้อมูลจากดาวเทียมภาพถ่ายมัลติสเปกตรัม (Multispectral imagery) เพื่อนำมาวิเคราะห์เป็นดัชนีระบุพื้นที่เผาไหม้ (Burn Area Index) หรือแสดงรอยเผาไหม้ (Burn Scar)
สาเหตุที่นำข้อมูล 2 รูปแบบมาใช้ร่วมกัน เนื่องจากหากพื้นที่ที่มีการเผาอ้อย แล้วดาวเทียมไม่ได้โคจรผ่านพื้นที่ตรงนั้น ณ เวลานั้น จะไม่มีข้อมูลปรากฏบนดาวเทียมว่าพื้นที่นั้นเกิดความร้อน (มีการเผาอ้อย)
สอน.จึงได้นำภาพถ่ายมัลติสเปกตรัมที่แสดงรอยเผาไหม้ของพื้นที่นั้นเข้ามาประกอบด้วย ซึ่งจะทำให้ได้ข้อมูลที่มีความถูกต้อง แม่นยำ เพื่อระบุพื้นที่เป้าหมายในการแก้ไขปัญหาการเผา เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินนโยบาย/มาตรการต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ สอน.ได้มีการวางแนวทางแก้ไขปัญหาการเผาในไร่อ้อยอย่างยั่งยืนไว้ 3 ด้าน
1.ด้านข้อมูล
⦁แสดงข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกอ้อยในประเทศไทย และรายจังหวัด อำเภอ ตำบล
⦁แสดงข้อมูลตำแหน่งการเกิดจุดความร้อน (Hotspots) และรอยเผาไหม้ (Burnt areas) ในพื้นที่เพาะปลูกอ้อย (รายจังหวัด อำเภอ ตำบล และรายแปลง)
⦁แสดงข้อมูล PM2.5 ในพื้นที่เพาะปลูกอ้อย (รายตำบล)
⦁แสดงข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สถานการณ์ภัยพิบัติ และข้อมูลแปลงปลูกอ้อย
2.ด้านการวางแผนโดยใช้ AI เข้ามาช่วย
⦁สร้างแบบจำลอง และประมวลผลข้อมูลจากหลายแหล่งที่มา
⦁แสดงข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกอ้อย ที่มีประวัติการเผาย้อนหลัง 3 ปี
⦁แสดงแผนที่ความเสี่ยงต่อการเผา ในแต่ละพื้นที่
⦁เชื่อมโยงข้อมูลโดยตรงกับโรงงานน้ำตาล และเกษตรกร
⦁พัฒนาข้อมูลอื่นๆ ที่จำเป็น เช่น การคาดการณ์ผลผลิต
3.ด้านระบบ
⦁ค้นหาข้อมูลรายพื้นที่ : รายแปลง รายเขตการปกครอง (จังหวัด อำเภอ ตำบล)
⦁ข้อมูลอัพเดตอย่างต่อเนื่องและใกล้เคียงกับสถานการณ์ปัจจุบัน
⦁ระบบแจ้งเตือนพื้นที่เผา และจุดความร้อนต่อเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ
⦁รองรับการเชื่อมต่อ API และฐานข้อมูลจากกรมส่งเสริมการเกษตร โรงงานน้ำตาล และอื่นๆ
รวมทั้งนำข้อมูลทั้ง 3 ด้าน มาใช้เชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติ
เชิงนโยบาย
⦁เพื่อวางแผน บริหารจัดการ กำหนดนโยบายต่างๆ
⦁ระบุพื้นที่เป้าหมายเพื่อวางมาตรการป้องกันการเผา และการเกิดฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ปลูกอ้อย
⦁ระบุพื้นที่เป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการเผา และเงื่อนไขการสนับสนุน (โดยอิงจากประวัติความร่วมมือในการงดเผาอ้อย)
⦁ใช้เป็นช่องทางการสื่อสาร และให้คำแนะนำเกษตรกรและโรงงานน้ำตาล
เชิงปฏิบัติ
⦁การแจ้งเตือนจุดเกิดไฟแก่เจ้าหน้าที่ อาสาสมัครเกษตรกร และเกษตรกรเจ้าของพื้นที่เกิดไฟ เพื่อการป้องปรามและระงับเหตุ
⦁การระบุพื้นที่และเกษตรกรเป้าหมาย เพื่อเข้าร่วมโครงการและกิจกรรม เช่น ส่งเสริมการตัดอ้อยสด และไม่เผาเศษวัสดุทางการเกษตร สำหรับพื้นที่เสี่ยงแต่ละระดับ
เป็นการยกระดับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลไทย ที่น่าติดตามผลดำเนินการนับจากนี้!!