ซีอีโอเอสซี ชี้นโยบายรัฐบาลตอบโจทย์ ดันดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจดีขึ้น หวังธปท.ผ่อนปรน LTV ลดดอกเบี้ย
เมื่อวันที่ 25 กันยายน นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC กล่าวว่า ขณะนี้ภาพรวมเศรษฐกิจโดยรวมดัชนีเชื่อมั่นดีขึ้น ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 เป็นต้นมา หลังเห็นการสื่อสารที่ชัดเจนของฝั่งรัฐบาลชุดนี้และการสานต่อนโยบายจากรัฐบาลก่อนหน้านี้ ทำให้สถานการณ์และบรรยากาศดีขึ้น ดูจากต้วเลขของตลาดหลักทรัพย์บอกอะไรหลายเรื่องได้ จึงมองว่าความเชื่อมั่นที่ต่ำมันอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นช่วงขาขึ้นดีขึ้นในปัจจุบัน เมื่อความเชื่อมั่นมาทำให้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้น รวมถึงนโยบายของภาครัฐที่ออกมา ทั้งแก้ปัญหาระยะสั้น ระยาว เรื่องทุนมนุษย์ เรื่องสิ่งแวดล้อม รวมถึงนโยบายด้านต่างประเทศ มองว่าเป็นนโยบายที่ตอบโจทย์มากๆ ถ้าทำได้สำเร็จ ทำให้มีความเชื่อมั่นและมีความหวังสถานการณ์ต่างๆจะกลับมาดีขึ้น
“ส่วนค่าเงินบาทที่แข็งเร็ว มีทั้งข้อดีและข้อเสีย สิ่งที่กระทบด้วยดอกเบี้ยสูงแบบนี้ เงินบาทที่แข็งค่า ทำให้มีอุปสรรคต่อการท่องเที่ยวและส่งออก ก็รออยู่ว่าดอกเบี้ยประเทศไทยเมื่อไหร่จะปรับตัวลดลง ถ้าลดลงคงจะช่วยเรื่องลดต้นทุนการทำธุรกิจได้ดีขึ้น ซึ่งคาดหวังว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ในเดือนตุลาคมนี้จะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ทั้งนี้ยอมรับว่าค่าเงินบาทแข็งมีผลต่อกำลังซื้ออสังหาฯของชาวตางชาติบ้าง ทำให้ชะลอการตัดสินใจไปบ้าง แต่เทรนด์ส่วนใหญ่ต่างชาติก็ยังอยากมาอยู่ประเทศไทยมากอยู่ดี ซึ่งในปีนี้บริษัทมียอดขายของชาวต่างชาติอยู่ประมาณ 20% ของยอดขายโดยรวมของคอนโดมิเนียม” นายณัฐพงศ์กล่าว
นายณัฐพงศ์ กล่าวว่า สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2567 ถือเป็นปีที่เหนื่อยและท้าทายมาก มี 3 ปัจจัยส่งผลต่อกำลังซื้อในตลาด คือ หนี้ครัวเรือนสูง ทำให้กู้ยาก ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง และการแข่งขันสูงจากซัพพลายยังสะสมอยู่มาก โดยบริษัทได้ปรับกลยุทธ์ออกไปหาลูกค้ามากขึ้น ด้วยกานจัดอีเวนต์ใน 10 ทำเล ทำให้ยอดขายดีขึ้นในครึ่งปีหลังนี้ ดังนั้นจึงมองว่าช่วงนี้เป็นช่วงดีที่สุดของคนซื้อบ้านและคอนโดมิเนียม
“เรายังมีสัดส่วนการกู้แบงก์ไม่ผ่านต่ำกว่าตลาด โดยอยู่ที่ 10% แต่สูงจากปีก่อนหน้าเล็กน้อย อย่างไรก็ดีถ้าธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและธุรกิจอสังหาฯทำให้ต้นทุนลดลงและลูกค้ามีความสามารถในการกู้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้อยากให้มีการผ่อนคลายมาตรการ LTV เพราะตอนนี้การเก็งกำไรหมดไปแล้ว หากผ่อนปรนได้จะทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงแหล่งเงินทุนและมีโอกาสซื้อบ้านและคอนโดมิเนียมมากขึ้น” นายณัฐพงศ์กล่าว
นายณัฐพงศ์ กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกตลาดอสังหาริมทรัพย์ยอดขายลดลง ดีมานด์ลดลง เพราะการแข่งขันสูง ซึ่งบริษัทเองก็มีการปรับตัวอย่างรวดเร็วในด้านการลงทุน มีเลื่อนการลงทุนบางโครงการที่ยังไม่ได้เริ่มออกไปให้เหมาะสมกับรายได้ที่เข้ามา ทั้งนี้ดูจากนโยบายรัฐบาลชุดนี้ที่ทำต่อเนื่องจากชุดที่แล้ว ส่งผลต่อความเชื่อมั่นดีขึ้น ดูจากภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ดังนั้นเมื่อความเชื่อมั่นโดยรวมทั้งผู้บริโภค สถาบันการเงิน เริ่มดีขึ้น จะทำให้จีดีพีดีขึ้นและหนี้ครัวเรือนจะลดลง เกิดกำลังซื้อเพิ่ม ส่งผลให้ซัพพลายอสังหาฯในตลาดลดลง โดยคาดว่าปลายปี 2568และต้นปี 2569 ตลาดแนวราบจะดีขึ้น จากช่วงนี้ยังมีความท้าทายอยู่จากซัพพลายที่ยังสูง ส่วนแนวสูงซัพพลายใหม่เริ่มลดลง จึงไม่ค่อยมีปัญหาคาดจะใช้เวลา 1 ปีกว่าๆ ที่จะกลับมาดีขึ้น
“บริษัทเชื่อว่ารายได้ปี 2567 จะเป็นไปตามเป้า การสร้างยอดขายรวมไว้ 26,500 ล้านบาท ดูจากแนวโน้มครึ่งปีหลังในไตรมาส3 เห็นยอดขายดีขึ้น 20%” นายณัฐพงศ์กล่าวทิ้งท้าย