อีกกลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เริ่มนำมาใช้ในการเดินหน้าธุรกิจในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่ตลาดไม่เหมือนเดิม คือ การเฟ้นหาน่านน้ำใหม่ จากธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ หรือ Recurring Income ที่ไม่ใช่สร้างที่อยู่อาศัยเพื่อขายอย่างเดียว เพื่อกระจายความเสี่ยงสู่ธุรกิจใหม่ หล่อเลี้ยงรายได้
ล่าสุดบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดตัว บริษัท เอสซีเอ็กซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ SCX บริษัทเรือธงธุรกิจใหม่ เป็นไปตามโรดแมปธุรกิจที่บริษัทประกาศไว้ ภายใน 5 ปี หรือภายในปี 2570 สร้างรายได้สะสมรวมสู่ 1.5 แสนล้านบาท
“ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2567 เข้าสู่ทศวรรษที่ 3 ของเอสซี ได้วางกลยุทธ์ลงทุนธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น
รับมือความผันผวนของตลาดอสังหาฯและเศรษฐกิจยุคใหม่ สร้างการเติบโตของรายได้ให้ยั่งยืนระยะยาว โดยธุรกิจที่เลือกต้องสร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ และอยู่ในธุรกิจที่มีแนวโน้มขาขึ้นและอนาคตสดใส จึงตั้ง SCX ขึ้นมารองรับธุรกิจใหม่ น่านน้ำใหม่ ไม่ว่า ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจคลังสินค้า และธุรกิจอาคารสำนักงาน
“เราสนใจธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของประเทศ มีมูลค่า 20% ของเศรษฐกิจไทย แนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง สูงสุดปี 2562 ก่อนโควิดแตะ 39 ล้านคนต่อปี เริ่มลดลงช่วงโควิดแต่ขณะนี้เริ่มฟื้นตัว ปีนี้คาดอยู่ที่ 36 ล้านคนต่อปี และปีหน้าจะกลับมาแตะ 40 ล้านคนต่อปี อัตราเข้าพักโรงแรมก็สูงขึ้น สะท้อนถึงประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของโลก เราจึงลงทุนธุรกิจโรงแรม อีกธุรกิจที่มาแรงช่วงโควิด คือ อีคอมเมิร์ซ ส่งผลให้ธุรกิจโลจิสติกส์เติบโต เราจึงไปลงทุนธุรกิจคลังสินค้า ส่วนธุรกิจอาคารสำนักงานเป็นการต่อยอดจากเดิม”
“รชฎ นันทขว้าง” กรรมการผู้จัดการบริษัท เอสซีเอ็กซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า แผนธุรกิจ 5 ปี ตั้งแต่ 2568-2572 ของ SCX จะลงทุน 2 หมื่นล้านบาท ในธุรกิจคลังสินค้า โรงแรม และออฟฟิศ ตั้งเป้าในปี 2572 สร้างสัดส่วนกำไรมากกว่า 25% หรือเฉลี่ยปีละ 2,000 ล้านบาท รายได้ 4,000 ล้านบาทต่อปี และมูลค่าพอร์ตฟอลิโอ 4 หมื่นล้านบาท
โดย “ธุรกิจคลังสินค้า” จะมีอาคารคลังสินค้าเพื่อเช่า ครอบคลุมทำเล บางนา อีอีซี อยุธยา วังน้อย ปัจจุบันมีพื้นที่ 120,000 ตร.ม. ในปี 2572 จะมีพื้นที่เช่ารวม 700,000 ตร.ม. ส่วน “ธุรกิจโรงแรม” ปัจจุบันมีโรงแรมที่เปิดบริการแล้ว คือ ย่านราชวัตร ขนาด 70 ห้อง ราคาห้องพัก 2,000-2,500 บาทต่อคืน รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจีน มีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 80% และปี 2568 เปิดโรงแรม Kromo, Curio Collection by HILTON ขนาด 306 ห้อง ย่านสุขุมวิท 29 ราคาห้องพัก 6,000 บาทต่อคืน และเปิด The Standard Pattaya Jomtien ตั้งอยู่ริมหาดจอมเทียน ขนาด 161 ห้อง ราคาห้องพัก 5,000 บาทต่อคืน โดยปี 2568 จะมีโรงแรม 3 แห่ง รวม 545 ห้อง และเพิ่มเป็น 2,000 ห้องในปี 2572 เน้นเจาะ 4 ทำเลท่องเที่ยวหลัก กรุงเทพฯ พัทยา สมุย ภูเก็ต มีทั้งลงทุนเอง ร่วมทุนและซื้อกิจการ ขณะที่ “ธุรกิจอาคารสำนักงาน” ปัจจุบันมี 6 แห่ง รวมพื้นที่ 120,000 ตร.ม. มีอัตราการเช่ามากกว่า 90% ในปี 2568 จะลงทุน 1,400 ล้านบาท ปรับปรุงอาคารเดิม เพิ่มระบบเทคโนโลยีให้ทันสมัยตอบโจทย์ผู้เช่าเดิม
“สุรเชษฐ กองชีพ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด กล่าวว่า ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาฯหลายรายมองหาแผนการลงทุนและดำเนินธุรกิจที่สร้างรายได้ระยะยาวมากขึ้น และหลายบริษัทได้ลงมือทำทันที เนื่องจากโควิดเป็นตัวเร่งให้ทุกบริษัทจำเป็นต้องหาช่องทางในการประกอบธุรกิจใหม่ๆ หรือขยายขอบเขตทำธุรกิจให้ออกไปจากตลาดอสังหาฯเร็วขึ้น หรือถ้ายังไม่สามารถประกอบธุรกิจได้เองจะหาผู้ร่วมทุนที่ชำนาญหรือเป็นผู้ที่ประกอบธุรกิจนั้นๆ หรือร่วมถือหุ้น เพื่อเป็นเจ้าของทันที
โดยมีผู้ประกอบการที่มีทิศทางหรือแนวทางจะทำธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก โดยได้ประกาศหรือเดินหน้าในช่วงปี 2563-2567 อย่างเช่น “สิงห์ เอสเตท” ได้เข้าสู่ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ขนาด 1,800 ไร่ที่ จ.อ่างทอง รองรับอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนและธุรกิจโลจิสติกส์
“เสนา ดีเวลลอปเม้นท์” ได้ทำธุรกิจพลังงานทดแทน ลงทุนโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ โกดังให้เช่า สนามกอล์ฟและโรงแรม “พฤกษา เรียลเอสเตท” สนใจในธุรกิจโรงพยาบาล รองรับธุรกิจเพื่อสุขภาพและธุรกิจเพื่อผู้สูงอายุ โดยเปิดโรงพยาบาลวิมุตเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกของบริษัท ยังเข้าซื้อหุ้น 51% ของ บจ.เทพธัญญภา เจ้าของโรงพยาบาลเทพธารินทร์ ยังมีแผนจะเปิดศูนย์สุขภาพในพื้นที่ด้านหน้าโครงการบ้านจัดสรรของบริษัทอีกด้วย
“เอ็น.ซี เฮ้าส์ซิ่ง” เปิดตัวศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพและดูแลผู้สูงอายุศิริอรุณ เวลเนส ปัจจุบันมีเปิดแล้ว 3 แห่ง โดยมองว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและผู้สูงอายุเป็น 1 ในธุรกิจที่ขยายตัวได้ในระยะยาว ด้าน “ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” มีปรับตัวหรือว่าเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้พยายามสร้างรายได้จากช่องทางอื่นมากขึ้น เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ รวมไปถึงเปิดบริษัทบริหารโครงการ บริหารการขายต่างๆ ยังสนใจธุรกิจบริหารสินทรัพย์ เพราะมองว่าอสังหาฯที่เป็นหนี้เสียเกิดขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงเข้าไปพัฒนาและลงทุนในโครงการขายไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟและอีวีชาร์จเจอร์ในคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร ธุรกิจเฮลธ์แคร์หรือที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและผู้สูงวัย ล่าสุดชิมลางธุรกิจประกันภัย
“เจ้าพระยามหานคร” เป็นอีกบริษัทที่มองเห็นความสำคัญของธุรกิจการแพทย์และสุขภาพ ตั้ง บจ.เทเลด็อค ประกอบกิจการโรงพยาบาลเอกชน สถานพยาบาล รับรักษาคนไข้ และผู้ป่วยเจ็บ รวมทั้งทำการสั่งเข้ามาซึ่งสินค้าเวชภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ทุกชนิด ด้าน “แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้” ขยายธุรกิจไปยังการผลิตและส่งออกถุงมือยาง ขณะที่ “พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” ที่ควบรวมกิจการกับกลุ่มแกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ ทำให้มีธุรกิจโรงแรมในพอร์ต ยังขยายไปยังธุรกิจค้าปลีก “ตลาดจ๊อดแฟร์” แห่งใหม่บนที่ดิน 13 ไร่ย่านรัชดาภิเษก
ฝั่ง “ไรมอนแลนด์” ขยายธุรกิจสู่อาคารสำนักงานให้เช่า โดยร่วมทุนกับทางมิตซูบิชิ เอสเตท (ประเทศไทย) เป็นอาคารสำนักงานเกรด A บนถนนเพลินจิต ล่าสุดดันธุรกิจในเครือ “ไรมอน แลนด์ เซอร์วิสเซส” หรือ RMS บริหารงานนิติบุคคล รองรับการขยายตัวของโครงการในอนาคต
ก่อนหน้านี้ “แลนด์แอนด์เฮ้าส์และคิวเฮ้าส์” ขยายลงทุนในธุรกิจสำนักงาน โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ศูนย์การค้ามาแล้ว รวมถึง “อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์” มีลงทุนในเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ โรงแรม 5 แห่งก่อนขายหุ้นของบริษัทให้ “มิตซุย ฟุโดซัง เอเชีย ดีเวลลอปเมนท์ (ไทยแลนด์)”
“การขยายธุรกิจของบริษัทอสังหาฯ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต การลดลงของประชากรในประเทศไทยในกลุ่มคนวัยทำงานที่เป็นวัยใช้เงิน การเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุ เป็นการปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงระยะยาว” สุรเชษฐทิ้งท้าย