ม.หอการค้า เผย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคก.ย.ลดลง ชี้โครงการ แจกเงินหมื่น ยังไม่ทำงาน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของประเทศไทย ประจำเดือนกันยายน 2567 โดยออกแบบสอบถามตัวอย่างจากประชาชน ทั่วประเทศเป็นจำนวน 2,243 คน พบว่าอยู่ที่ระดับ 55.3 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า ที่ระดับ 56.5 และเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 รวมทั้งเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 14 เดือน นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 เป็นต้นมา
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบัน อยู่ที่ระดับ 39.0 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคต อยู่ที่ 63.1 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 48.8 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม อยู่ที่ระดับ 52.7 และ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 64.4 ซึ่งดัชนีปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ทุกรายการ
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า เนื่องจากการถูกกระทบเรื่องน้ำท่วม ประกอบกับบรรยากาศเรื่องของสงครามระหว่า อิสราเอลกับฮามาส สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนมองว่าบรรยากาศเศรษฐกิจไทยแย่ลง และจากจุดนี้ทำให้ภาพของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนพิการ ที่เติมเงินให้คนละ 10,000 บาท รวมเป็นวงเงินราว 1.45 แสนล้านบาท ดูเหมือนยังไม่ทำงาน ประชาชนยังไม่ใช้จ่าย เพราะคนกังวลเรื่องของอนาคตมากกว่า
“เดือนกันยายนนั้นเป็นเดือนที่ ม.หอการค้า ก็ดูอยู่ว่าการแจกเงิน 10,000 บาท ให้กลุ่มเปราะบางนั้น มีผลต่อการสำรวจความเชื่อมั่นหรือไม่ เพราะในช่วงที่สำรวจนั้น ประชาชนรับรู้แล้ว เพราะ มีได้รับข้อมูลข่าวสารแล้ตั้งแต่กลางเดือน และได้รับเงินช่วงสิ้นเดือน ซึ่งรอบการสำรวจของหอการค้าไทยคือช่วงสิ้นเดือน ประชาชนรับรู้แล้ว ทั้งนี้ หอการค้าไทย กำลังติดตามว่าตัวเลขในเดือนตุลาคม 2567 ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมีผลหรือยัง หลังจากบรรยากาศคลี่คลายจากน้ำท่วม”นายธนวรรธน์ กล่าว
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า จากบรรยากาศนี้ สิ่งที่ตามมาคือ รัฐบาลควรมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ เพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งในช่วงของปลายปี โดยช่วงที่เหมาะสมที่สุดคือช่วงปีใหม่ การจะมีมาตรการ รัฐบาลอาจจะนำโครงการเรื่องของการท่องเที่ยว อย่างเราเที่ยวด้วยกัน หรือ โครงการชิมช้อปใช้ โครงการคนละครึ่ง ที่แม้จะดูเป็นมาตรการของรัฐบาลก่อนหน้า แต่ก็ยังสามารถเปลี่ยนชื่อได้ แต่คงคอนเซ็ปต์ เช่น มาตรการ คูณสอง รัฐบาลก็จ่ายสมทบอีกครึ่งหนึ่งให้ประชาชน
นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า ขณะที่การสำรวจผู้ประกอบการจาก 369 ตัวอย่างทั่วประเทศ เมื่อ 23-27 กันยายน พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (Thai Chamber of Commerce Confidence Index หรือ TCC-CI) เดือนกันยายน 2567 อยู่ที่ระดับ 49.4 ซึ่งเป็นการลดลงไประดับที่ต่ำว่า 50 เป็นเดือนแรก ในรอบ 1-2 ปี เนื่องจากผู้ประกอบการวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว และมองว่าภาคการบริโภคยังไม่คึกคัก แม้ว่ารัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงินหมื่น รวมทั้งยังไม่แน่ใจเสถียรภาพการเมืองของรัฐบาล ประกอบกับสถานการณ์เกี่ยวกับสงครามระหว่าง อิสราเอลกับกลุ่มฮามาส
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า โดย ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 46.6 ลดลงจากเดือนก่อนหน้า ที่อยู่ในระดับ 46.6 และดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในอนาคต อยู่ที่ 52.2 ลดลงจากเดือนก่อนหน้า ที่อยู่ในระดับ 53.2
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย เดือนกันยายน 2567 รายภูมิภาคนั้น ลดลงไปอยู่ระดับต่ำกว่า 50 เกือบทุกภาค ยกเว้นภาคตะวันออก โดยกรุงเทพฯและปริมณฑล อยู่ที่ 49.1 ภาคกลาง อยู่ที่ 49.9 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ 48.0 ภาคเหนือ อยู่ที่ 49.3 ภาคใต้อยู่ที่ 48.6 ส่วนภาคตะวันออก อยู่ที่ 52.1
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า เพราะบรรยากาศของเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ ทาง ม.หอการค้าไทย คงประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2567 จะขยายตัวที่ 2.6% ต่อปี โดยมีปัจจัยลบคือเรื่องของน้ำท่วม และต้องติดตามว่าอาจจะเกิดสงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาส แม้จะมีสหรัฐอเมริกาเข้าไปช่วยเจรจาแล้ว แต่ทางอิสราเอลก็มีท่าทีจะโต้ตอบกลับ เพราะฉะนั้น สถานการณ์เหล่านี้คือความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทย ที่ต้องการมาตรการกระตุ้น
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ด้วยเศรษฐกิจไทย ที่ความเชื่อมั่นยังไม่ฟื้นตัว จึงต้องการการอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยก่อนหน้านี้ ม.หอการค้า คาดว่า โรงการดิจิทัล วอลเล็ต จะทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2567 โตที่ 2.6-2.8% ซึ่งม.หอการไทยจะทำการติดตามตัวเลขต่อเนื่องต่อไป