บิ๊กออมสิน‘วิทัย รัตนากร’ ถอดรหัสสร้าง Social Impact ลดกำไร ช่วยสังคม อุ้มคนจน

จากเมื่อ 4 ปีก่อน วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ประกาศพันธกิจปรับบทบาท “ธนาคารออมสิน” เป็น Social Bank หรือธนาคารเพื่อสังคมอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการนำ “กำไร” มาช่วย “คนและสังคม” ปลดเปลื้องภาระหนี้

วันนี้โรดแมปภารกิจ กำลังถูกขับเคลื่อนเข้าสู่สมัยที่สองของ “วิทัย” หลังได้นั่งผู้อำนวยการธนาคารออมสินอีกสมัย มีวาระงาน 4 ปี ตั้งแต่ 2568-2572

ครั้งนี้นอกจากจะสานต่อพันธกิจเดิม “วิทัย” ประกาศชัดเจน “ออมสินจะช่วยสังคมมากขึ้นอีก”โดยตั้งเป้าจะสร้าง Social Impact หรือผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมให้กว้างขวางขึ้น ให้ได้ปีละมากกว่า 15,000 ล้านบาท นับจากปี 2567

วิทัย รัตนากร

“…ในยุคที่สองของออมสิน จากยุคแรกฟอร์เวิร์ดเป็นโซเชียลแบงก์เต็มที่ แก้ปัญหาตามนโยบายรัฐ สร้างโพซิชั่นที่ชัดสร้างอิมแพกต์หนี้โควิด อีก 4 ปี เราจะทำสิ่งที่มีอยู่ให้ใหญ่ขึ้น ต่อไป Social Impact จะใหญ่ขึ้นมาก ทุกโครงการที่ออกไป จะไม่ขอชดเชยจากรัฐ เราจะอยู่ด้วยตัวเอง เราแข็งแรงพอและทำได้” คำประกาศของวิทัย

ADVERTISMENT

พร้อมกับเล่าว่า เมื่อ 4 ปีที่แล้วได้เริ่มธนาคารเพื่อสังคม และตอกย้ำเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้บทบาทก็ชัดเจน เราทำสองส่วนไปพร้อมกัน ทั้งเชิงสังคมและเชิงพาณิชย์ นำกำไรจากเชิงพาณิชย์มาสนับสนุนภารกิจเชิงสังคม เอาธุรกิจเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่กำไรมาก มาช่วยเชิงสังคมที่ขาดทุนหรือกำไรน้อย แต่ช่วยคนได้หลายล้านคน ในช่วงโควิดเรามีบทบาทสำคัญ มีหลายล้านคนที่เราช่วยเหลือ

ADVERTISMENT

“จนมาถึงเมื่อปีที่แล้ว เราประกาศแนวคิด CSV หรือ Creating Shared Value คือ การเอาปัจจัยทางสังคมบูรณาการเข้าไปในโปรดักต์ที่สำคัญทั้งหมด ทำอะไรก็ต้องใส่โซเชียลเข้าไป ทั้งหมดเรียกว่า social mission integration ปรับตรงนี้มาเป็น CSV เอาปัจจัยสังคมใส่เข้ามาในธุรกิจ ทำให้ธุรกิจใหญ่ขึ้น เริ่มทำมาปีครึ่งแล้ว ก็เหมือนที่เราย้ำมาตลอด…ใช้บริการเรา เท่ากับช่วยสังคม… ตอนนี้เราข้ามไปอีกสเต็ป CSV เราทำต่อไป แต่ทำให้แข็งแรงมากขึ้น ใหญ่มากขึ้น” วิทัยย้ำ

ยังขยายความว่าการที่ออมสินสามารถช่วยเหลือสังคมได้ตามแผนงาน เกิดจากการที่รัฐบาลเห็นชอบการปรับตัวชี้วัดให้ออมสินไม่เป็นรัฐวิสาหกิจที่มุ่งเน้นกำไรสูงสุด และให้ขยายผลการช่วยเหลือสังคมมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแทน โดยมีอัตรากำไรอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยในปี 2567 ออมสินตั้งเป้าหมายกำไรอยู่ที่ 27,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 โดยครึ่งปีแรกมีกำไร 18,000 ล้านบาท ซึ่งกำไรส่วนนี้นอกจากจะนำช่วยสังคม ยังจะถูกนำส่งเป็นรายได้ของรัฐต่อไปอีกด้วย ขณะที่ออมสินยังมีความแข็งแกร่งด้วยปริมาณเงินสำรองส่วนเกินที่เพิ่มสูงขึ้นสู่ระดับ 80,000 ล้านบาทในปี 2567 จากเดิมปี 2562 มีเพียง 4,000 ล้านบาท

“เมื่อปี 2566 เรามีกำไร 33,544 ล้านบาท ถือว่าค่อนข้างสูง ด้วยหลักของแบงก์รัฐ ควรจะมีกำไรในระดับที่เหมาะสม แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไม่กำไร แต่ไม่จำเป็นต้องมีกำไร 30,000-40,000 ล้านบาท เพราะเรามีสำรองหนี้ทุกปี ปีละ 10,000-20,000 ล้านบาท เอากำไรแบบเหมาะสมปีละ 25,000 ล้านบาทก็พอ ส่วนที่เหลือทำภารกิจช่วยสังคม ทำให้เกิด Social Impact ให้กับสังคม ชุมชน คนจน และวัดผลให้ได้ปีละไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท น่าจะเป็นคอนเซ็ปต์ที่ถูกต้องมากกว่า ขอย้ำว่าเป้าไม่ใช่ลดกำไร แต่ปรับกำไรเพื่อช่วยสังคม ขยาย Social Impact ยุคนี้ต้องเอากำไรให้เล็กลง เอาคนให้มันใหญ่ขึ้น ต้องขอบคุณรัฐบาลที่ตระหนักถึงเรื่องนี้” วิทัยกล่าว

วิทัยกล่าวว่า ภารกิจหลักของออมสิน คือ 1.ดึงคนข้าสู่ระบบการเงิน หรือ Financial Inclusion ที่ทำและชัดมาก คือ การปล่อยสินเชื่อช่วงโควิด วงเงิน 10,000 บาทต่อคน ได้อนุมัติปล่อยกู้ไปกว่า 2 ล้านบัญชี เป็นกลุ่มคนที่มีเครดิตต่ำกว่าเกณฑ์หรือไม่เคยกู้ได้เลย มีประมาณ 1.2 ล้านบัญชี ไม่เคยมีประวัติ ผ่อนหมดใน 3 ปี แปลว่ากลุ่มนี้จากนี้ไปเขาสามารถกู้ที่ไหนก็ได้ แต่อีก 8 แสนบัญชี เป็นหนี้เสีย (NPL) คิดเป็นมูลหนี้กว่า 5,000 ล้านบาท บางรายเหลือหนี้ 3,000-5,000 บาท แต่เป็นหนี้เสีย ไม่สามารถกู้ได้ 8 ปี เพราะมีประวัติ

“เราคิดวิธีใหม่ ยกหนี้ให้กลุ่มนี้สักครั้งไปเลย เพื่อทำให้เขาเข้าสู่ระบบได้ที่ผ่านมาดำเนินการแล้วประมาณ 700,000 บัญชี อีก 1-2 เดือนนี้จะดำเนินการที่เหลือ 100,000 บัญชีให้ครบ ถามว่าไม่กลัวภาวะการพักหนี้ ล้างหนี้หรือ ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องระวัง แต่เวลาทำก็ต้องทำอย่างระวัง อย่าไปกลัวจนไม่กล้าทำ ถ้าผมไม่ทำ 8 แสนคน จะไปกู้ต้องติด 8 ปี เวลาต้องการเงินต้องกู้นอกระบบอย่างเดียว ถ้าไม่กล้าทำ ตายกันหมด”

2.แก้ปัญหาหนี้สิน แก้ปัญหาหนี้ครู หนี้ข้าราชการ หนี้คนทั่วไป โดยได้ปรับเกณฑ์เรื่องฟ้องล้มละลาย การฟ้องแพ่ง ต่อไปคนถูกฟ้องล้มละลายจะถูกฟ้องยากขึ้น โดยเฉพาะผู้ค้ำประกัน จากนี้จะเห็นจำนวนเคสฟ้องล้มละลายของธนาคารออมสินปักหัวลง และ 3.บทบาทการพัฒนา เราทำงานพัฒนา ทั้งการสร้างอาชีพ ด้านสิ่งแวดล้อม โดยทั้ง 3 บทบาทนี้พอจะขยาย Social Impact ไปสู่ภารกิจที่ 4 คือ การสนับสนุนรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านโครงการซอฟต์โลนต่างๆ เช่น โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 0.01 % วงเงิน 100,000 ล้านบาท ล่าสุดออกมาตรการช่วยเหลือพื้นที่น้ำท่วมโดยพักหนี้อัตโนมัติ พักจ่ายเงินต้นและไม่คิดดอกเบี้ย เป็นระยะเวลา 3 เดือนถึงธันวาคม และขยายอีก 6 เดือน แบ่งเบาภาระลูกหนี้กว่า 110,000 บัญชี เป็นต้น

วิทัยกล่าวว่า การเดินหน้า Social Impact จะผ่านมาตรการและภารกิจ 10 ด้าน ได้แก่ แก้ไขหนี้หรือยกหนี้ให้ครัวเรือน, ลดดอกเบี้ยเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย, ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือผ่อนเกณฑ์อนุมัติ เพื่อดึงประชาชนกลุ่มฐานรากและกลุ่มเอสเอ็มอี เข้าสู่ระบบการเงิน, สนับสนุนนโยบายรัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ, ช่วยเหลือภัยพิบัติเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน, สร้างอาชีพให้ประชาชนกลุ่มฐานราก, พัฒนาชุมชน, ส่งเสริมการออม, สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และดูแลสิ่งแวดล้อม เริ่มนับหนึ่งปี 2567 ทั้งหมดจะส่งไปช่วยตามโปรแกรม เพื่อช่วยเหลือสังคม คนฐานราก ชุมชน และเอสเอ็มอี

ขณะเดียวกันจะขยายขีดความสามารถการแข่งขันในระยะยาว ด้วยการบริหารงานแบบกลุ่มบริษัท ซึ่งออมสินเป็นแบงก์รัฐรายเดียวที่บริหารงานในรูปแบบนี้ เริ่มจากร่วมลงทุนกับบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำธุรกิจจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ ลดดอกเบี้ยทันที 10% จาก 28% อยู่ที่ 16-18% และทำสำเร็จ ปล่อยกู้ไป 2 ล้านบัญชี ทำให้เป็นดอกเบี้ยมาตรฐานของตลาดให้ 5 ล้านบัญชีในตลาดจ่ายดอกเบี้ยถูกลง แต่เราต้องขายหุ้นคืนออกไป ถ้าหากมีใครปรับดอกเบี้ยขึ้นอีก ก็พร้อมจะเข้าไปแข่งขันใหม่

ถัดมาจัดตั้ง “บริษัท มีที่มีเงิน จำกัด” โดยออมสินถือหุ้น 49% ทำธุรกิจสินเชื่อที่ดินและขายฝาก ขยายการเข้าถึงสินเชื่อของกลุ่มเอสเอ็มอี ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าตลาด เราปล่อยกู้ไปกว่า 20,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 7-9%

ยังจัดตั้ง “บริษัท จีเอสบี ไอที แมเนจเมนท์ จำกัด” เพื่อช่วยพัฒนายกระดับขีดความสามารถด้านดิจิทัลหรือเอไอของธนาคาร เน้นพัฒนาโมบายแอพพลิเคชั่นเป็นหลักจะเริ่มเห็นผลในปี 2568

และเมื่อไม่นานมานี้ได้จัดตั้ง “บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด” หรือ ARI-AMC เพื่อแก้ไขหนี้ครัวเรือนด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรน เพิ่งได้ใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำสัญญาโอนหนี้สินเชื่อที่เป็นหนี้เสียล็อตแรกแล้วกว่า 130,000 บัญชี มูลค่า 11,000 ล้านบาท และภายในต้นปี 2568 จะโอนได้ทั้งหมดกว่า 400,000 บัญชี มูลค่ากว่า 35,000 ล้านบาท

สุดท้าย “บริษัท เงินดีดี จำกัด” เพื่อขยายการเข้าถึงสินเชื่อของประชาชนกลุ่มฐานราก ด้วยการให้สินเชื่อผ่านแอพพลิเคชั่น “Good Money by GSB” เพิ่งได้ใบอนุญาตจาก ธปท.เมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา โดยได้ 2 ไลเซนส์ คือ ใบอนุญาตนอนแบงก์ คิดดอกเบี้ย 22-24% ต่อปี และใบอนุญาตนาโนไฟแนนซ์ คิดดอกเบี้ย 28-32% ต่อปี โดยการอนุมัติสินเชื่อจะพิจารณาตามความเสี่ยงของลูกค้า จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งเงินดีดีจะเป็นดิจิทัลเลนดิ้ง 100% คล้ายกับเวอร์ชวลแบงก์ โดยเป็นวิธีการปรับตัวของเรา ถ้าไม่ปรับตัว เหนื่อย

“ออมสินจะเป็นต้นไม้ใหญ่ เพื่อช่วยอีกเซ็กเมนต์หนึ่ง อย่างเงินดีดี อาจจะกำไรน้อยมาก แต่ช่วยคนได้เป็นแสนคนที่เข้าสู่ระบบไม่ได้ เราสนใจที่จำนวนคน ช่วยให้ได้มากที่สุด จะไม่เข้มงวดมาก แต่ต้องอยู่ไหว ซึ่งเงินดีดี อาจขาดทุนช่วงแรก ต้องให้เขาตั้งตัวก่อนปีแรกคาดหวังจะได้ 100,000 ราย โดยทั้ง 4 บริษัทในขณะนี้ ถือว่าเพียงพอที่จะช่วยเหลือลูกค้าได้ทุกกลุ่ม รวมถึงทำให้ออมสินแข็งแกร่งได้” วิทัยกล่าวทิ้งท้าย

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image