ผู้เขียน | ทีมข่าวเศรษฐกิจ |
---|
ตลาดเงินตลาดทุนกลับมามีความร้อนแรงอีกครั้ง หลังจากทองคำไทยวิ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) ที่ระดับ 44,550 บาทต่อบาททองคำ เนื่องจากทองคำโลก หรือทองคำสปอตเคลื่อนไหวในแดนบวกแบบพุ่งพรวดๆ จนทำออลไทม์ไฮ หรือทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง สาเหตุเพราะมีความต้องการ (ดีมานด์) จากนักลงทุนเพิ่มขึ้นแบบไม่หยุดฉุดไม่อยู่ หลังจากปัจจัยความเสี่ยงที่เดิมมองว่าจะคลายตัวลงได้ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา อาทิ การปรับดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่สร้างความไม่แน่นอน และความเสี่ยงในเชิงลบต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ที่เป็นหนึ่งในประเทศตลาดเกิดใหม่ด้วย
เมื่อความเสี่ยงที่ยังไม่ยอมหดหายไป แถมรังแต่จะสร้างผลกระทบให้กับเศรษฐกิจ ที่สะท้อนถึงเม็ดเงินในกระเป๋าของทุกคน ความสามารถในการจับจ่ายใช้สอย รวมถึงต้นทุนสินค้าและบริการที่ปรับราคาเพิ่มขึ้นรอไปก่อนแล้ว หากมีกำลังมากพอจะเก็บออมก็ต้องเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงสุด ทำให้ทองคำปรับราคาขึ้นมาตามดีมานด์ที่เพิ่มมากขึ้น เพราะทองคำถือเป็น Safe Haven หรือหลุมหลบภัยชั้นดีของการเก็บเงิน
สะท้อนจากการเทียบราคาทองคำนับตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงปัจจุบัน ราคาปรับขึ้นมาแล้วกว่า 10,450 บาทต่อ 1 บาททองคำ มีการปรับขึ้นสูงสุดที่ 3,950 บาทต่อบาททองคำ ถึง 2 เดือน คือเดือนมีนาคม และเดือนตุลาคม ถือเป็นเดือนที่ปัจจัยเสี่ยงในหลายเรื่องดีดตัวขึ้นมามีน้ำหนักในการเพิ่มความกังวลในทิศทางอนาคตข้างหน้าอีกครั้ง
⦁ทองพุ่งสะท้อนความเชื่อมั่นฮวบ
ทิศทางลงทุนโค้งสุดท้ายนี้ พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) มองว่า การกลับมาร้อนแรงอีกครั้งของสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ปรับลดลงจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมถึงสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ อย่างหุ้น หรือสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ราคาตกลง จึงไม่เป็นที่เชื่อมั่นสำหรับนักลงทุนอีกต่อไป ทำให้ทองคำมีความต้องการเพิ่มมากขึ้น เมื่อมีดีมานด์หรือความต้องการเกิดขึ้น ราคาจะปรับขึ้นเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในอนาคตยังมีปัจจัยเสี่ยงรออยู่ชัดเจนอย่างน้อย 2 เรื่องทั้งการลดดอกเบี้ยสหรัฐ และผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ถือว่ามีผลกับการเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจทั่วโลก ด้วยสหรัฐถือเป็นประเทศมหาอำนาจ ที่กำหนดทิศทางค่าเงินของหลายประเทศด้วย
ทิศทางทองคำไทยจะวิ่งไปได้ไกลเท่าใด อย่างน้อยที่ระดับ 45,000 บาท แน่นอนได้เห็นแล้ว มีโอกาสวิ่งไปต่อถึง 47,000 บาทเร็วกว่าที่เคยประเมินกันไว้ แต่ขึ้นอยู่กับค่าเงินบาท หากอ่อนค่าไม่หลุดระดับ 33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ หรืออ่อนค่าลงกว่านี้ได้จะหนุนราคาทองคำวิ่งได้ไกลขึ้น โดยค่าเงินบาทมีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำไทยมาก เหมือนภาพในช่วงที่ผ่านมา ราคาทองคำโลกวิ่งในระดับ 2,400 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แต่ราคาทองคำไทยอยู่ที่ 40,000 บาทต้นๆ พอราคาทองโลกขึ้นไปที่ 2,700 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองคำยังอยู่ที่ 40,000 บาทต้นๆเหมือนเดิม เนื่องจากเงินบาทแข็งค่า หากทองคำไทยจะวิ่งไปถึง47,000 บาท ภายในสิ้นปี 2567 นี้ เงินบาทต้องไม่แข็งค่าลงมาแตะระดับ 31-32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ แต่เทรนด์ในตอนนี้ดูแล้วเงินบาทจะแข็งค่าอีกครั้ง เพราะสินทรัพย์ของไทยมีความน่าสนใจในการลงทุน โดยเฉพาะตลาดหุ้นที่ยังมีราคาถูกอยู่ หากเทียบกับหลายตลาดทั่วโลก กระแสเงินทุนต่างชาติที่จะไหลเข้าจากนี้ จะเป็นตัวชี้วัดว่าจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าหรืออ่อนค่าในระยะถัดไป
สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำปรับขึ้นแบบพุ่งพรวด สวนทางกับสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นไทย ที่ดัชนีหุ้นยังไม่ไปไหน เข้าตำราไม่ทรงก็ทรุด สะท้อนจากดัชนีที่พยายามวิ่งแตะระดับ 1,500 จุด ซึ่งถือเป็นระดับจิตวิทยาที่สำคัญ แต่ยังไม่สามารถยืนเหนือระดับดังกล่าวได้ สุดท้ายดัชนีกลับหัวตกลงวิ่งที่ระดับ 1,440-1,460 จุดอีกครั้ง แม้ว่าขณะนี้มีเม็ดเงินซื้อขายจากกองทุนวายุภักษ์ 1 เข้ามาช่วยเพิ่มวอลลุ่มมากขึ้น แต่ก็ดูเหมือนน้ำหนักจะไม่ได้มากเท่าที่ควร จากที่กระทรวงการคลังคำนวณว่าจะสามารถดันดัชนีหุ้นขึ้นไปได้ที่ 200 จุด เพิ่มมูลค่าตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) อีกกว่า 2.5 ล้านล้านบาท แต่อิทธิฤทธิ์ที่เสกออกไปดูเหมือนยังไม่สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้สมดั่งใจ
⦁หุ้นไทยเพลียสูงสุดแค่1,510จุด
การลงทุนอีกด้าน เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยจนถึงสิ้นปี 2567 นี้ ประเด็นต่างประเทศที่ต้องติดตามเป็นระยะๆ คือ การเลือกตั้งสหรัฐ การปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่อาจลดดอกเบี้ยช้ากว่าคาด หนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) ปรับตัวขึ้น และความเสี่ยงด้วยภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการสู้รบระหว่างประเทศต่างๆ ที่ยังต้องติดตามใกล้ชิดในฐานะปัจจัยเสี่ยง ส่วนปัจจัยในประเทศ แม้เศรษฐกิจไทยยังเติบโตช้า แต่มีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น จากเม็ดเงินคงเหลือของงบประมาณปี 2567 บวกเม็ดเงินใหม่จากการอนุมัติงบประมาณปี 2568 เพื่อทยอยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในช่วงไตรมาส 4/2567 ถึงปี 2568 ขณะที่เป้าหมายการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยของภาครัฐ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชน และการบริโภคภาคครัวเรือนเป็นหลัก ซึ่งมีเพียงความเสี่ยงหากก่อหนี้มากเกิน อาจถูกหั่นเครดิตเรตติ้งลงได้ จึงยังคงมุมมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทย ณ สิ้นปีนี้ที่ระดับ 1,510 จุด ซึ่งเคยปรับขึ้นมาแตะระดับนี้แล้ว 1 ครั้ง แต่ปรับตัวย่อลงไปก่อนหน้านี้อีกรอบ ทำให้ต้องลุ้นว่าหุ้นไทยจะสามารถกลับขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,500 จุด และวิ่งแตะเป้าหมายที่มองไว้ได้หรือไม่
ในส่วนปัจจัยการเมืองไทยมีแนวโน้มร้อนแรงขึ้นตามลำดับ กดดันให้ดัชนีมีโอกาสถูกกดดันได้ในอนาคต โดยฝ่ายวิจัยฯประเมินว่าในช่วงต้น-กลางเดือนพฤศจิกายน 2567 น่าจะเห็นความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม แต่จะยังไม่เห็นข้อสรุปเรื่องการยุบพรรคตามคำร้องต่างๆ ทำให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) มีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยน้อยลงในช่วงที่เหลือของปีทั้งจากส่วนของต่างชาติและสถาบัน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิสะสมกว่า 126,178.05 ล้านบาท และยังไร้วี่แววที่จะกลับเข้าหุ้นไทยจนสามารถวกกลับมาซื้อสะสมได้
ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในงวดไตรมาส 3/2567 ดูไม่สดใสมากนัก เบื้องต้นจากข้อมูล พบว่ากำไรไตรมาส 3 ลดลง 11% เทียบกับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แต่ลดลงกว่า 14.5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ซึ่งเปรียบเทียบได้กับกำไรไตรมาส 3บริเวณ 2.2-2.3 แสนล้านบาทเท่านั้น ในมุมแวลูเอชั่น หรือมูลค่าหุ้นมองผ่าน (MEYG) หรือส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนในดอกเบี้ยนโยบายกับตลาดหุ้นไทยได้ 3.8% ถือว่าอยู่ในระดับเท่าค่าเฉลี่ยในอดีต ไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือมีการพัฒนาอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้เป้าหมายดัชนีสูงสุดปี 2567 อยู่เพียง 1,510 จุดเท่านั้น ถือว่ายังปรับตัวขึ้นได้ไม่มาก หากเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกัน ที่วิ่งนำไปแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงตลาดสำคัญอย่างสหรัฐ หรืออื่นๆ แล้ว ส่วนปี 2568 คาดเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยสูงสุดอยู่ที่ 1,633 จุดซึ่งถือว่ายังไม่สามารถกลับสู่จุดเดิมที่เคยวิ่งขึ้นไปแตะระดับ 1,700 จุด ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2565
⦁เครื่องชี้วัดศก.ส่งสัญญาณชะลอ
ในภาพรวมนั้น ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยประจำเดือนกันยายน 2567 พบว่า เศรษฐกิจชะลอตัวลงจากเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีปัจจัยชั่วคราวทำให้เครื่องชี้วัดหลายตัวเร่งขึ้นไป จึงมีการชะลอตัวลงบ้าง โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไตรมาส 3 น่าจะเติบโตใกล้เคียงที่ระดับ 3% ส่วนจะถึง 3% หรือไม่ถึงนั้น ยังต้องติดตามอีกครั้ง แต่ปกติแล้วการนับว่าถึง 3% หรือ 4% ก็ไม่ได้เท่ากับระดับดังกล่าวเป๊ะๆ อยู่แล้ว
ส่วนกระแสการแจกเงิน 10,000 บาทให้ประชาชนกลุ่มเปราะบาง ประเมินผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจในเดือนกันยายน พบว่า การโอนเงินหมื่นเป็นการโอนเงินให้ช่วงปลายเดือนกันยายนแล้ว ทำให้เห็นผลต่อเศรษฐกิจในด้านการใช้จ่ายบ้าง แต่ยังไม่ได้เยอะมากนัก อาทิ การใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ของใช้ในบ้านเพิ่มขึ้นบ้าง จึงคาดว่าจะมีการใช้จ่ายในเดือนตุลาคมมากขึ้นแทนซึ่งต้องดูเครื่องวัดในช่วงถัดไปอีกครั้ง ในส่วนผลกระทบจากน้ำท่วมต่อเศรษฐกิจ มองว่าอาจไม่ได้เยอะมากนัก แต่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ต้องยอมรับว่าหนักมากจริง ซึ่งจะมีการประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมอีกครั้ง
มองไปข้างหน้าทิศทางยังมีแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจอยู่ โดยมีแรงส่งมาจากภาคการท่องเที่ยว ภาคบริการ แม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ณ เดือนกันยายน 2567 ปรับลดลงจากเดือนก่อน 3.2% มีจำนวนอยู่ที่ 2.8 ล้านคน แต่เป็นการปรับลดลงตามจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เร่งไปก่อนหน้า และคาดว่าจะกลับเข้าสู่ระดับปกติ ประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ปรับลดลงบ้าง เพราะวันหยุดยาวหมดแล้ว ส่วนประเทศที่เพิ่มขึ้น มีมาเลเซีย เกาหลีใต้ และลาว นักท่องเที่ยวระยะไกลเพิ่มขึ้นเกือบทั้งหมด ตามการทยอยเข้าสู่ช่วงฤดูการท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) แล้ว ส่วนการส่งออกยังคงกดดันอยู่เดือนกันยายน ส่งออกปรับลดลง 3.3% หลังจากการเร่งตัวไปก่อนหน้านี้ โดยกลุ่มยานยนต์จากการส่งออกไปในตลาดอาเซียนและออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง ส่วนเกษตรและเกษตรแปรรูปที่เร่งก่อนหน้าจากอุปทานของคู่ค้า ส่วนสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องประดับ อัญมณี ที่ปรับเพิ่มตามการจัดแสดงสินค้า หากดูการส่งออกในไตรมาสที่ 3 ปรับเพิ่มขึ้น 6.1% ซึ่งเป็นผลจากวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
⦁ส่งออก-ท่องเที่ยว คือความหวัง
ขณะที่การวิเคราะห์ของ SCB EIC ระบุว่า แนวโน้มมูลค่าการส่งออกไทยปี 2567 จะขยายตัว 2.6% ปี 2568 จะขยายตัว 2.8% สะท้อนจากตัวเลขส่งออก 2 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ ขยายตัวสูงกว่าคาดการณ์ไว้เดิม และสูงกว่ามุมมองตลาดมาก ส่วนหนึ่งจากการส่งออกทองคำเพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลกและวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น ส่งผลให้มูลค่าส่งออก 3 ไตรมาสแรกปีนี้ ขยายตัวถึง 3.9% ประกอบกับมูลค่าการส่งออกไตรมาส 4/2567 มีแนวโน้มขยายตัวดี จากผลของวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้นและปัจจัยฐานค่อนข้างต่ำ มูลค่าการส่งออกทั้งปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวมากกว่าประมาณการเดิมที่ 2.6%
พิจารณาปัจจัยที่มีผลต่อการส่งออกไทย ได้แก่ เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากครึ่งแรกของปี โดยเฉพาะภาคการผลิตที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการค้าโลกสูงหดตัว สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตโลกที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 นอกจากนี้องค์ประกอบของดัชนี PMI ที่สะท้อนอนาคต เช่น ยอดคำสั่งซื้อใหม่และคาดการณ์ปริมาณผลผลิตมีแนวโน้มลดลง ในระยะข้างหน้าจะมีปัจจัยลบกดดันเศรษฐกิจและการค้าโลกมากขึ้น อาทิ ความไม่แน่นอนของปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ สงครามในหลายพื้นที่มีความยืดเยื้อและรุนแรงขึ้นที่อาจทำให้ค่าระวางเรือกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง และมาตรการกีดกันการค้าที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งสหรัฐ China overcapacity ทำให้จีนส่งออกตลาดโลกเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากอุปสงค์ในจีนยังซบเซา อาจซ้ำเติมปัญหาความสามารถในการแข่งขันของไทย โดยเฉพาะความสามารถในการแข่งขันด้านราคากับสินค้าจีน ทั้งตลาดในประเทศและตลาดโลก
ทั้งยังเจออินเดียยกเลิกการห้ามส่งออกข้าว หลังจากควบคุมการส่งออกข้าวมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 อาจส่งผลให้ราคาและปริมาณข้าวไทยส่งออกลดลง เนื่องจากอุปทานข้าวในตลาดโลกที่มากขึ้น และไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดข้าวที่ได้เพิ่มมากลับคืนให้อินเดีย ภัยธรรมชาติและสภาพอากาศแปรปรวน สถานการณ์น้ำท่วมในบางภูมิภาคของไทยเริ่มคลี่คลาย พื้นที่เกษตรที่ได้รับผลกระทบยังไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับภัยน้ำท่วมในอดีต โดยเบื้องต้นประเมินมูลค่าความเสียหายน้ำท่วมในภาคเกษตรประมาณ 4,700 ล้านบาท หลักๆ มาจากพื้นที่ปลูกข้าวที่คาดว่าจะเสียหาย 0.8 ล้านไร่ ซึ่งคิดเป็นเพียง 0.7% ของพื้นที่เก็บเกี่ยวข้าว ซึ่งจะกระทบการส่งออกข้าว ราคาน้ำมันโลกมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง จากแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันโลกลดลงโดยเฉพาะจีน การเพิ่มการผลิตน้ำมันของสหรัฐ ความกังวลอุปทานน้ำมันลดลงหลังจากอิสราเอลยืนยันว่าจะไม่โจมตีโรงงานน้ำมันของอิหร่าน ตลาดคาดการณ์ว่าในปี 2567 จะมีอุปทานน้ำมันในตลาดโลกเกินความต้องการ (เกินดุล) อาจส่งผลต่อการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปและสินค้าที่เกี่ยวข้อง อาทิ พลาสติก ยาง เคมีภัณฑ์ รวมถึงค่าเงินบาทที่ผันผวน อาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าส่งออกไทย และรายได้หรือกำไรในรูปเงินบาทของผู้ส่งออกไทยเพิ่มขึ้น
ข้างบนถือเป็นเงาสะท้อนถึงสถานการณ์การลงทุนในตลาดเงินตลาดทุน ที่กำลังเกิดขึ้นก่อนจบปี 2567 และส่งไม้ต่อปี 2568