ถือเป็นอีกทำเลที่ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกไม่น้อย สำหรับ “ถนนเทพรักษ์” ถนนตัดใหม่ มีจุดเริ่มต้นจากพหลโยธินซอย 50 ข้างบิ๊กซีสะพานใหม่ ไปเชื่อมถนนรัตนโกสินทร์สมโภช (สุขาภิบาล 5) ที่เปิดใช้ไปเมื่อหลายปีก่อน
สะท้อนจากภาพการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ทั้งบ้านแนวราบและคอนโดมิเมียม ที่เข้าไปปักหมุด รวมถึงร้านอาหารที่เปิดบริการกันอย่างคึกคักตลอดแนวเส้นทาง นอกจาก “ถนนเทพรักษ์” จะกลายเป็นทำเลบ้านราคาแพงแล้ว ยังเป็นแหล่งแฮงเอาต์ของคนในย่านนี้ด้วย
ยิ่งถนนที่สร้างต่อจากช่วง “พหลโยธินซอย 50” ทะลุเชื่อม “ถนนวิภาวดีรังสิต ซอย 72” ข้างโรงแรมบางกอกแอร์พอร์ตสวีทโฮเทลแล้วเสร็จ เชื่อว่าจะยิ่งทำให้ถนนสายนี้บูมมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากได้รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายจาก “หมอชิต-คูคต” มาเป็นแม่เหล็กบูสต์ทำเลโซนนี้ให้โดดเด่นแล้ว
ปัจจุบันมีความเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ มีบิ๊กแบรนด์หลายค่ายเข้าไปลงทุน โดยรัศมีที่คึกคักสุดในเวลานี้คงเป็นชุมทาง “พหลโยธินซอย 50” ติดบิ๊กซีสะพานใหม่กับสถานีรถไฟฟ้าสายหยุด ซึ่งมีโครงการคอนโดมิเนียมเก่าและใหม่ผุดพรึบ ระดับราคาตั้งแต่ 1 ล้านต้นๆ
เช่น เทมโปควอด, เดอะเบส สะพานใหม่ โปรเจ็กต์ร่วมทุนบีทีเอสกับแสนสิริ, เสนาคิทท์ บีทีเอส สะพานใหม่ ของบริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ คอร์ป หลังโครงการแรกขายดี เปิดขายโครงการโคซี่ สะพานใหม่ต่อเนื่อง เริ่มต้นที่ 1.29 ล้านบาท หลังพิสูจน์แล้วว่าทำเลนี้มียอดขายดีกว่าทำเลอื่น ขณะที่บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เป็นอีกค่ายที่เติมการลงทุนโซนนี้ไม่หยุด หลังปักธง ดิออริจิ้น พหลฯ-สะพานใหม่ ติดถนนเทพรักษ์ ยังมีโซ ออริจิ้น พหล 69 และออริจิ้น เพลย์ พหล 50 สเตชั่น
จากแนวสูงมาเช็กอัพบ้านแนวราบ มีหลายโครงการเช่นกัน ไม่ว่า “พรีเมี่ยม เพลส พหลโยธิน-รามอินทรา” โฮมออฟฟิศของบริษัท พรีเมี่ยมเพลสกรุ๊ป จำกัด ส่วนบริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) ได้ส่ง “บ้านกลางเมือง” บุกโซนนี้ถึง 2 โครงการในพื้นที่เดียวกัน คือ “บ้านกลางเมือง พหลโยธิน-รามอินทรา” ทาวน์โฮม 3 ชั้น เริ่มต้น 4.79 ล้านบาท และ “บ้านกลางเมือง ดิ อิดิชั่น พหลโยธิน-รามอินทรา” บ้านแฝด 3 ชั้น ราคาเริ่มต้น 9.59 ล้านบาท
ส่วนบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ก็บุกไม่ยั้ง หลังเปิดโครงการแรก “ศุภาลัย พรีมา วิลล่า พหลโยธิน 50” ได้ซื้อที่ดินฝั่งตรงข้ามขึ้นโครงการ “ศุภาลัย เอเลแกนซ์ พหลโยธิน 50” บ้านเดี่ยว บ้านแฝด 3 ชั้น ราคาเริ่มต้น 11.9-30 ล้านบาท
เมื่อมุ่งหน้าไปช่วงปลายถนน จะมีโครงการ “นันทวัน รามอินทรา พหลโยธิน 50” ราคา 20-40 ล้านบาท ของ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ขณะทีบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดขาย โครงการ “เศรษฐสิริ พหล-วัชรพล” และ “เศรษฐสิริ วัชรพล-เทพรักษ์” บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ที่เปิดขายเมื่อต้นปี 2567 ด้วยราคาเริ่มต้น 15-30 ล้านบาท
ฝั่งของผู้ประกอบกาลค้าปลีก มีการเข้าไปลงทุนพัฒนาอย่างน้อย 2 ค่าย เพื่อรองรับกำลังซื้อโซนนี้ ไม่ว่าจะเป็นแม็คโคร ที่เข้าไปเปิด “แม็คโคร ฟูดเซอร์วิส สาขาเทพรักษ์” เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 รองรับการขยายตัวของชุมชนและธุรกิจร้านอาหารในพื้นที่สะพานใหม่ วัชรพล และใกล้เคียง โดยมีพื้นที่ขายกว่า 4,000 ตร.ม. เป็นศูนย์จำหน่ายวัตถุดิบด้านอาหารและเครื่องดื่มสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหาร แบ่งออกเป็นโซนวัตถุดิบสด โซนวัตถุดิบแห้ง และโซนอุปกรณ์สำหรับร้านอาหาร
ล่าสุด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ได้เข้าไปปักหมุด “มาร์เก็ต เพลส เทพรักษ์” บริเวณใกล้จุดขึ้นทางด่วนวัชรพล บนเนื้อที่กว่า 18 ไร่ โดยรูปแบบโมเดลเป็นส่วนของคอมมูนิตี้มอลล์ 5,800 ตร.ม. และส่วนตลาด 1,500 ตร.ม. เตรียมเปิดให้บริการวันที่ 18 ธันวาคม 2567
ยังไม่นับรวมโครงการที่อยู่อาศัยที่พัฒนาในซอยและย่านวัชรพลและพื้นที่โดยรอบ ที่เปิดโครงการขายกันอย่างเนืองแน่นในปัจจุบัน รับเมืองขยายตัว และโครงข่ายถนนและทางด่วน ด้วยในอนาคตในโซนนี้จะมีทางด่วนสายใหม่ ที่สร้างต่อขยายจากจตุโชติไปถึงลำลูกกาที่กำลังเริ่มตอกเข็มในเร็วๆ นี้ รวมถึงถนนตัดใหม่ที่จะสร้างต่อจากถนนรัตนโกสินทร์สมโภชเชื่อมวงแหวนรอบนอกตะวันออกไปถึงถนน
นิมิตใหม่
สำหรับสถานการณ์ที่อยู่อาศัยโซนนี้ จากข้อมูลของ “โสภณ พรโชคชัย” ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด (AREA) เมื่อกลางปี 2567 พบว่าทำเลนี้มีที่อยู่อาศัย 10,573 หน่วย ขายไปแล้ว 7,349 หน่วย ยังเหลือ 3,224 หน่วย ราคาเฉลี่ยหน่วยละ 7.671 ล้านบาท สินค้าที่เหลือมากที่สุด “บ้านเดี่ยว” จำนวน 2,085 หน่วย ราคาเฉลี่ยหน่วยละ 12.921 ล้านบาท เพราะเป็นพื้นที่เปิดใหม่ มีถนนตัดใหม่ เหมาะกับการพัฒนาบ้านเดี่ยวสำหรับผู้มีรายได้ค่อนข้างสูง ทั้งนี้กลุ่มบ้านเดี่ยวที่เหลือมากสุด เป็นราคา 10-20 ล้านบาท เหลืออยู่ 1,061 หน่วย
ขณะที่ “ทาวน์เฮาส์” เหลือขาย 955 หน่วย ราคาเฉลี่ยต่อหน่วย 4.081 ล้านบาท โดยเป็นทาวน์เฮาส์ราคาปานกลางค่อนข้างสูง เนื่องจากบริเวณนี้อยู่ไม่ห่างไกลจากการสัญจรเข้าเมืองผ่านรถไฟฟ้าและทางด่วนมากนัก ส่วน “บ้านแฝด” มีเพียง 133 หน่วย ราคาเฉลี่ย 7.694 ล้านบาท ซึ่งเป็นบ้านแฝดที่ใช้ทดแทนบ้านเดี่ยวที่มีราคาเฉลี่ยค่อนข้างสูง ขณะที่ “คอนโด” เหลือน้อยมาก 50 หน่วย ราคาเฉลี่ย 2.739 ล้านบาท เป็นห้องชุดสำหรับคนหนุ่มสาวที่ใช้รถไฟฟ้าเป็นสำคัญ
สำหรับอัตราการขายได้ “บ้านแฝด” ขายได้เร็วกว่าสินค้าอื่น ซึ่งขายได้เดือนละ 4.7% โดยเฉพาะบ้านแฝดราคา 5-10 ล้านบาทต่อหน่วย ดังนั้นสินค้าที่ยังเหลืออยู่น่าจะขายได้หมดภายในเวลา 22 เดือน แต่ที่ขายได้ช้าสุด คือ บ้านเดี่ยวที่คาดว่าจะขายได้เดือนละ 1.4% ต้องใช้เวลาขายอีกราว 69 เดือนจึงหมด
ทำเลนี้มีการพัฒนาอย่างเข้มข้นตามลำดับนับตั้งแต่ปี 2564 ที่มีการเปิดใช้ถนนอย่างจริงจัง และยังมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 5 ปีนับจากนี้