ไทยยูเนี่ยน คาดนโยบายทรัมป์ ดีต่อส่งออกอาหารไทย ปักธงปี 73 รายได้ 2.45 แสนล้าน

ไทยยูเนี่ยน คาดนโยบายทรัมป์ ดีต่อส่งออกอาหารไทย ประกาศกลยุทธ์ปี73 ปักธงรายได้ 2.45 แสนล้านบาท เพิ่มผลกำไรสองเท่าใน 6 ปี

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงนายโดนัลด์ ทรัมป์ นั่งประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ จะมีผลกระทบต่อการส่งออกและภาพรวมต่อประเทศไทยอย่างไรนั้น ว่า  ยังเร็วเกินไปจะระบุได้ว่าส่งผลกระทบอย่างไร ต้องรอดูนโยบายและแนวทางทำงานหลังเข้ารับตำแหน่งก่อน

อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นประเด็นว่าจะปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลลงเหลือ 15% จากเดิม 20% ยอมเป็นผลดีต่อการมีเงินใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการได้มากขึ้น บริษัทเป็นธุรกิจด้านอาหาร ย่อมได้รับผลดี ส่วนประเด็นสหรัฐฯจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าซึ่งปฏิบัติกับทุกประเทศและในอัตราเดียวกัน ยกเว้นจีน ถือว่าไม่มีประเทศใดได้เปรียบเสียเปรียบไปมากกว่ากัน ผลกระทบเท่ากันในทุกประเทศ ดังนั้นก็จะยังเป็นการแข่งขันในภาวะปกติ ส่วนที่ต้องติดตามจากนี้ยังมีหลายประเด็น โดยเฉพาะสถานการณ์ความตึงเครียดของการสู้รบ และภูมิรัฐศาสตร์

Advertisement

“จากหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมา และไม่รู้ได้ชัดว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงอะไรอีกในอนาคต ดังนั้นเราจึงปรับตัว มีการลงทุน และวางเป้าหมายการทำงานที่ชัดเจน ผสมกับควมยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ ซึ่งโลกทุกวันนี้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ตั้งแต่ผลกระทบจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ไปจนถึงความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทุกความท้าทายนำมาซึ่งโอกาส การเติบโตในโลกยุคใหม่ ไม่ใช่แค่การปรับตัว แต่เราต้องก้าวพ้นกระแสแห่งความผันผวนนี้ เพื่อสร้างโอกาสให้กับตัวเอง เรามีความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายยอดขาย 2.45 แสนล้านบาท (ประมาณ 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ) จาก 1.36 แสนล้านบาท หรือ 3.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2567 และเพิ่มกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เป็นสองเท่าภายในปี 2573 จากประมาณ 14,000 ล้านบาท หรือ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 24,500 – 28,000 ล้านบาท หรือ 700-800 ล้านเหรียญสหรัฐ สู่การเป็นผู้นำระดับโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาพจากท้องทะเล” นายธีรพงศ์ กล่าว

Advertisement

นายธีรพงศ์ กล่าวต่อว่า สำหรับกลยุทธ์สู่ปี 2573 ของไทยยูเนี่ยน แบ่งออกเป็น 3 แกนหลัก โดยมุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจที่สำคัญเพื่อผลักดันการเติบโตของรายได้ กำไรขั้นต้น และ EBITDA โดยการเสริมสร้างความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจเดิม และธุรกิจใหม่ รวมถึงการควบรวมกิจการ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ซึ่ง 3 แกนหลัก ประกอบด้วย

1. เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก ได้แก่ อาหารทะเลแปรรูป อาหารแช่เย็น และอาหารสัตว์ เพื่อสร้างกระแสเงินสดที่จำเป็นสำหรับการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตใหม่ ๆ 2. สร้างคลื่นลูกใหม่ของการเติบโต  มุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจที่เติบโตเร็ว เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง อาหารแช่แข็ง อาหารพร้อมทาน และอินกรีเดียนท์ ซึ่งไทยยูเนี่ยนเชื่อว่าจะยังคงขับเคลื่อนการเติบโตของผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และ 3. การเปิดน่านน้ำใหม่  มุ่งเน้นการแสวงหาไอเดียและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และโปรตีนทางเลือก เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของไทยยูเนี่ยนในอนาคต

นายพอล เฮอร์โฮลซ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และทรานส์ฟอร์เมชั่น บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เสริมว่า กลยุทธ์สู่ปี 2573 ประกอบด้วย 3 แกนหลัก เป็นปัจจัยสำคัญที่จะเร่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ทั้งการเติบโตธุรกิจในปัจจุบัน ธุรกิจใหม่ รวมถึงการควบรวมกิจการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายอีกหกปีข้างหน้า โดยจะดำเนินงานผ่าน 2 โปรเจกต์ทรานส์ฟอร์เมชั่น

ประกอบด้วย โปรเจกต์โซนาร์ (Project Sonar) โครงการทรานส์ฟอร์เมชั่นของกลุ่มบริษัท มุ่งวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตในระยะยาว และโปรเจกต์เทลวินด์ (Project Tailwind)มุ่งเน้นที่การเร่งการเติบโตในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นหลัก ทั้งนี้ การดำเนินโปรเจกต์โซนาร์ ตั้งเป้าลดต้นทุนเฉลี่ยต่อปีได้ 2,625 ล้านบาท หรือ 75 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ประมาณ 40% ของเงินส่วนนี้ จะถูกนำกลับมาลงทุนเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและขยายธุรกิจต่อไป โปรเจกต์โซนาร์มีเป้าหมายสร้างรูปแบบการดำเนินงานที่แข็งแกร่งสอดคล้องกับกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 สร้างขีดความสามารถด้านการจัดซื้อและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงยกระดับขีดความสามารถทางดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจ และเตรียมพร้อมสำหรับการเดินหน้าโครงการดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชั่นอย่างเต็มรูปแบบ

ส่วนโปรเจกต์เทลวินด์ (Tailwind) เป็นแผนการทรานส์ฟอร์มเมชั่นของกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง กำหนดเป้าจะเพิ่มกำไรจากการดำเนินงานประมาณ 1,750 ล้านบาท หรือ 50 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี สำหรับธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป ซึ่งกุญแจสู่สำเร็จ คือ ใช้ความเชี่ยวชาญทางธุรกิจ สร้างขีดความสามารถใหม่ ๆ เพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดซื้อและกระบวนการผลิต เน้นไปที่การเร่งขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจบริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป้าหมายจะเพิ่มรายได้สามเท่าอยู่ที่ประมาณ 52,500 ล้านบาท หรือ 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2573 ทั้งนี้ หลานกิจกรรม ไทยยูเนี่ยนได้เริ่มต้นดำเนินการแล้วเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายตามกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 รวมถึงโครงการทรานส์ฟอร์มเมชั่นทั้งสองโครงการ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image