มติ นบข.เคาะไร่ละพัน ไม่เกิน 10 ไร่ ช่วยชาวนา 2.1 ล.ครัวเรือน ชง ครม.สัญจร 29 พ.ย.นี้

มติ นบข.เคาะไร่ละพัน ไม่เกิน 10 ไร่ ช่วยชาวนา 2.1 ล.ครัวเรือน ชง ครม.สัญจร 29 พ.ย.นี้

นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาท ตามโครงการเพิ่มและพัฒนาผลผลิตพี่น้องเกษตรกร ซึ่งพบว่ามีเกษตรกรที่มีที่ดินทำกินไม่เกิน 10 ไร่ จำนวนมากกว่า 2.1 ล้านครัวเรือน คิดเป็น 47.31% ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว 4.61 ล้านครัวเรือน วงเงิน 38,000 พันล้านบาท ซึ่งเป็นกรอบวงเงินเดิม ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่มีอยู่ 29,000 ล้านบาท

“ผู้แทน ธ.ก.ส.ระบุว่า ส่วนที่ต้องเพิ่มอีก 9,000 ล้านบาท ทาง ธ.ก.ส.บริหารจัดการได้ ถือเป็นการนำเงิน ธ.ก.ส.มาใช้ก่อน แล้วค่อยตั้งงบประมาณรัฐบาลภายหลัง ซึ่งเป็นการให้เฉพาะครั้งนี้ และจะดูด้วยว่า จะเพิ่มผลผลิตในระยะยาวอย่างไร โดยหวังว่าเรื่องนี้จะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ในการประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.เชียงใหม่ วันที่ 29 พฤศจิกายน เพื่อให้เป็นแพคเกจเดียวกันกับโครงการสินเชื่อชะลอการขาย และสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวด้วย” นางนฤมลกล่าว

นางนฤมลกล่าวอีกว่า ที่ประชุมมอบหมาย กษ.โดยกรมการข้าว จัดทำหลักเกณฑ์เงื่อนไข ขั้นตอน วิธีการเข้าร่วมโครงการให้มีความสอดคล้องกับมติ ครม.เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ที่ให้ดำเนินโครงการในลักษณะส่งเสริมให้เกษตรกรยกระดับการปลูกข้าวอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเพิ่มระดับผลิตภาพ และสามารถวัดผลการดำเนินการพัฒนาผลผลิตอย่างเป็นรูปธรรม โดยจะเร่งจัดทำหลักเกณฑ์โครงการให้ทันนำเสนอเข้าที่ประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.เชียงใหม่

ADVERTISMENT

“ที่ประชุม นบข.ยังมีมติยกเลิกโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง โดยเปลี่ยนเป็นโครงการผลผลิตในรูปแบบอื่น ซึ่งขณะนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน จะให้พี่น้องชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่” นางนฤมลกล่าว

นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวว่า พอใจกับมติการประชุมครั้งนี้ แม้ว่าที่ผ่านมาจะเคยได้ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ ตีเป็นเงิน 20,000 บาท แต่ขณะนี้งบน้อย ซึ่งก็เข้าใจ เพราะว่าช่วงนี้ราคาข้าวตกต่ำ ทั้งนี้ ยืนยันว่าจะไม่มีม็อบ

ADVERTISMENT

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ภาวะสังคมไทยไตรมาส 3 ปี 2567 พบความเคลื่อนไหวสำคัญ ได้แก่ สถานการณ์แรงงานค่อนข้างทรงตัว มีผู้มีงานทำ 40 ล้านคน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2566 ที่ 0.1% จากการจ้างงานภาคเกษตรกรรมที่หดตัวต่อเนื่องที่ 3.4% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสถานการณ์อุทกภัย ส่วนสาขานอกภาคเกษตรกรรมขยายตัว 1.4% โดยสาขาการขนส่งและเก็บสินค้าขยายตัวได้มากสุด 14% สาขาโรงแรมและภัตตาคาร 6.1% ขณะที่สาขาการผลิตหดตัว 1.4% โดยเฉพาะการผลิตคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ และการผลิตยานยนต์

“ส่วนชั่วโมงการทำงานโดยรวมเพิ่มขึ้น แต่บางส่วนยังต้องการทำงานเพิ่ม โดยภาพรวมอยู่ที่ 43.3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และภาคเอกชนอยู่ที่ 47.4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยผู้ทำงานล่วงเวลาเพิ่มขึ้น 3.8% ขณะที่ผู้เสมือนว่างงานลดลง 32.9% และผู้ทำงานต่ำระดับเพิ่มขึ้น 15% ส่วนใหญ่อยู่ภาคเกษตรกรรม อัตราการว่างงานปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 1.02% หรือมีผู้ว่างงานจำนวน 4.1 แสนคน” นายดนุชากล่าว

นายดนุชากล่าวว่า ส่วนหนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 2 ปี 2567 มีมูลค่า 16.32 ล้านล้านบาท ขยายตัว 1.3% ชะลอลงจาก 2.3% ในไตรมาสที่ผ่านมา ทำให้สัดส่วนหนี้ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) ปรับลดลงจาก 90.7% ของไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 89.6% เป็นการปรับลดลงต่ำกว่า 90% ต่อจีดีพีครั้งแรกในรอบ 4 ปี หรือตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2563 หนี้สินครัวเรือนเกือบทุกประเภทปรับตัวชะลอลง หรือหดตัว

ยกเว้นสินเชื่อส่วนบุคคล จากการมีภาระหนี้ที่สูง ประกอบกับคุณภาพสินเชื่อที่ปรับลดลง ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ สะท้อนจากเงินให้กู้แก่ภาคครัวเรือนของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 3 หรือ 38.5% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด มีการหดตัวเป็นครั้งแรก นายดนุชากล่าว

“ขณะที่คุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนปรับลดลงต่อเนื่อง โดยยอดคงค้างสินเชื่อบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วัน (NPL) ในฐานข้อมูลเครดิตบูโรมีมูลค่า 1.16 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวม อยู่ที่ 8.48% เพิ่มขึ้นจาก 8.01% ของไตรมาสที่ผ่านมา เป็นการเพิ่มขึ้นในสินเชื่อทุกวัตถุประสงค์” นายดนุชากล่าว

นายดนุชากล่าวต่อว่า ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญในระยะถัดไป คือ 1.แนวโน้มการก่อหนี้ในกลุ่มสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้น 2.ความเสี่ยงจากการต้องหันไปพึ่งพาหนี้นอกระบบของครัวเรือน จากการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่เข้มงวดต่อเนื่อง 3.แนวโน้มการผิดนัดชำระหนี้บ้านที่เร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะบ้านที่มีวงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 3 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่ารายได้ของครัวเรือนบางกลุ่มยังไม่ฟื้นตัว และสถานะทางการเงินยังตึงตัว จากการเลือกที่จะผิดนัดชำระหนี้บ้าน แม้ว่าบ้านจะถือเป็นสินทรัพย์จำเป็น และ 4.ผลกระทบของอุทกภัยต่อสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image