ม.หอการค้า คาดการณ์จีดีพีปี’68 ขยายตัว 3% จี้ รัฐอัดมาตรการกระตุ้น ดันเศรษฐกิจโตต่อเนื่อง

ม.หอการค้า คาดการณ์จีดีพีปี’68 ขยายตัว 3% จี้ รัฐอัดมาตรการกระตุ้น ดันเศรษฐกิจโตต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทยในปี 2568 ไว้ที่ 3% โดยมีปัจจัยหนุนที่สำคัญจากการใช้จ่ายภาครัฐ การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน การส่งออก และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อที่มีเสถียรภาพ

ส่วนการใช้จ่ายของภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.4% การบริโภคภาคเอกชน ขยายตัว 3.1% ขณะที่มูลค่าการส่งออกของไทย (ในรูปของดอลลาร์สหรัฐ) จะขยายตัวได้ 2.5% ชะลอตัวลงจากปี 67 เนื่องจากผลของฐานที่สูงในปีนี้ ด้านการท่องเที่ยว ประเมินว่าจะมียอดนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยแตะ 40 ล้านคน

นายธนวรรธน์กล่าวว่า สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไป อยู่ที่ 1.2% อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในช่วง 1.75-2.25% โดยมองว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสจะปรับลดดอกเบี้ยในปีหน้าลงได้อีก 1-2 ครั้ง ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยน อยู่ในช่วง 34.50-35.50 บาท/ดอลลาร์ หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 35 บาท/ดอลลาร์

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ ในปี 2568 ยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อเศรษฐกิจไทย ได้แก่ ความเสี่ยงจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลก และปริมาณการค้าโลกที่จะขยายตัวได้ต่ำกว่าคาด, ภาระหนี้สินของครัวและภาคธุรกิจยังอยู่ในระดับสูง, ความเสี่ยงจากความผันผวนในภาคการเกษตร, ความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์

นายธนวรรธน์กล่าวว่า ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ยังประเมินขนาดของผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในแต่ละมาตรการ ที่จะมีต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2568 โดยรวมแล้ว 1.65 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นผลต่อจีดีพี ที่ 0.93% แยกเป็น มาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 กลุ่ม ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจราว 3.56 หมื่นล้านบาท ส่งผลต่อจีดีพี 0.20%

ADVERTISMENT

มาตรการแก้ปัญหาหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) นอกจากแก้ปัญหาหนี้แล้วยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจไปด้วยในตัว เนื่องจากลูกหนี้เอ็นพีแอล ที่ได้รับเงินช่วยเหลือ หรือเงินที่ได้ต้องชำระหนี้ ไปใช้จ่ายทั้งหมดโดยไม่มีการเก็บออม คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 9.17 หมื่นล้านบาท ส่งผลผลต่อจีดีพี 0.51% และมาตรการช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจราว 3.85 หมื่นล้านบาท คิดเป็นผลต่อ ส่งผลผลต่อจีดีพี 0.22%

นายธนวรรธน์กล่าวว่า อย่างไรก็ดี มาตรการแจกเงิน 10,000 บาทในเฟส 2 ซึ่งคาดว่าจะได้รับก่อนตรุษจีนปี 2568 นั้น ยังไม่ใช่ตัวหลักที่จะช่วยขับกระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้า แต่ตัวหลักคือมาตรการที่จะออกมาช่วยแก้หนี้ครัวเรือน และการปรับโครงสร้างหนี้ ดังนั้นหากรัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอย ก็อาจจะทำมาตรการออกมาอีกต่อเนื่อง เศรษฐกิจให้หมุนได้ต่อ ซึ่งทำได้หลายมาตรการ อาทิ โครงการคูณสอง หรือคนละครึ่งเดิม

หรือจะเป็นโครงการลดหย่อนภาษี อีซี่-อีรีซีท เชื่อว่ารัฐบาลจะตัดสินใจได้ง่าย เพราะการลดหน่อยภาษีเป็นทางเลือกที่ดี ที่รัฐบาลไม่ต้องใช้งบประมาณ แต่ใช้เงินภาษีในอนาคตที่จะต้องได้รับออก กลับไปกระตุ้นเศรษฐกิจแทน โดยสามารถอัดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจได้ 3-5 หมื่นล้าน ตามวงเงินของการใช้จ่าย จากที่คาดว่าจะมีประชาชนใช้มาตรการนี้ราว 1 ล้านคน

นายธนวรรธน์กล่าวว่า อย่างไรก็ดี ในปีหน้าอาจจะต้องติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศ หลังจากเริ่มเห็นการหยิบยกประเด็นหรือความกังวลที่อาจจะมีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลว่าจะอยู่ครบ 4 ปีหรือไม่ เช่น MOU 44 การยื่นฟ้องศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ อาจมีผลให้มีการออกมาชุมนุมประท้วงได้ และคำวินิจฉัยของศาลอาจมีความสุ่มเสี่ยงต่อพรรคร่วมรัฐบาล และเสถียรภาพของรัฐบาล

ซึ่งการดำรงอยู่ของรัฐบาล ถ้ายังต่อเนื่องก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้ามีการยุบสภาเกิดขึ้นก่อนที่จะมีงบประมาณแผ่นดิน ปี 2569 จะทำให้เกิดปัญหาให้เราไม่สามารถใช้งบประมาณได้เป็นปกติเหมือนในปีนี้ และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ปีนี้ เศรษฐกิจไทยโตต่ำ สิ่งที่น่ากังวลคือ ถ้าเกิดมีเหตุการณ์ที่ทำให้งบประมาณไม่สามารถใช้ได้ตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นยุบสภาหรืออะไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยจากที่มองว่าจะโต 3% ก็จะย่อลงทันที

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image