ททท.ลัดฟ้าสู่แดนมังกร‘นครเซี่ยงไฮ้’ สำรวจแนวรับ-แนวรุก‘ท่องเที่ยวยั่งยืน’

นครเซี่ยงไฮ้ ถือเป็นเมืองระดับหนึ่งของจีน จากข้อมูลเมื่อปี 2562 มีจำนวนประชากรอยู่ถึง 24.28 ล้านคน มาเทียบกับประเทศไทยประชากรรวมกันยังแค่ 1 ใน 3 เท่านั้น บวกกับประเทศไทยกำลังเผชิญจำนวนประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง ตามข้อมูลกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยสถิติทะเบียนราษฎร ปี 2567 ระบุว่า ไทยมีประชากรทั้งสิ้น 66,052,615 คน ดังนั้น ขีดความสามารถ (คาพาซิตี้) ในการรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาได้มากขึ้น แต่เนื่องจากจำนวนประชาชนตามทะเบียนบ้าน ยังไม่ได้นับรวมแรงงานเพื่อนบ้าน ที่เข้ามาทำงานกระจายตัวในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ทำให้ช่องว่างของคาพาซิตี้อาจไม่ได้ขยายมากขึ้นเท่าที่ควร

แต่ความจำเป็นในการดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ที่เป็นฐานลูกค้าหลักของไทย ยังมีอยู่ ต้องบอกเลยว่า ประเทศไทยไม่สามารถขาดนักท่องเที่ยวจีนได้เพราะมีจำนวนเข้ามาเที่ยวไทยสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของตลาดต่างชาติเที่ยวไทย เดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง สามารถมาเที่ยวไทยได้มากกว่า 1 ครั้ง/ปี มีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวเฉลี่ยอยู่ที่ 49,225 บาทต่อคนต่อทริป

ปัจจุบันหลังโควิดผ่านพ้นไป ทำให้พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจีนเปลี่ยนแปลงจากเดิม นิยมการเดินทางแบบอิสระหรือกลุ่มเล็กๆ ต้องการประสบการณ์ใหม่ และรัดเข็มขัดมากขึ้น เพื่อต่อยอดในการทำตลาดนักท่องเที่ยวจีนให้กลับมาอย่างเข้มแข็ง ซึ่งก่อนเข้าเทศกาลปีใหม่ 2568 นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง และ น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นำผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทย เข้าร่วมงาน China International Travel Mart (CITM) 2024 ระหว่างวันที่ 21-24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

สรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมนัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมงาน China International Travel Mart (CITM) 2024

CITM 2024 ถือเป็นงานส่งเสริมการขายทางการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐประชาชนจีน มีพื้นที่จัดงานขนาด 53,000 ตารางเมตร จำนวนคูหาจัดแสดงกว่า 2,500 คูหา จากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก เป็นเวทีให้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวภาคเอกชนไทยได้เจรจาธุรกิจกับผู้แทนบริษัทนำเที่ยวในตลาดจีน ตลอดจนนำเสนอสินค้าทางการท่องเที่ยวของไทยในตลาดจีน รวมทั้งสร้างความมั่นใจและสร้างภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยและสาธารณสุขของประเทศไทย

ADVERTISMENT

เพื่อรักษาฐานและขยายตลาดนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มศักยภาพ เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจากทั้งเมืองหลักและเมืองรองของจีนให้ตัดสินใจเลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางแรกๆ สำหรับการเดินทางท่องเที่ยว รวมทั้งส่งเสริมให้เพิ่มวันพักเฉลี่ยและเพิ่มค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยรัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยและจีน ทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจ การลงทุน การศึกษา โดยเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมถึงเพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนให้แนบแน่นมากยิ่งขึ้น

ADVERTISMENT

สำหรับประเทศไทย การออกคูหาแสดงสินค้าและบริการครั้งนี้ มาพร้อมสโลแกนเที่ยวเมืองไทย ยิ่งเที่ยวยิ่งติดใจ ซึ่งภายในงานมีพลเมืองจีนเข้าเยี่ยมชมกิจกรรมที่เตรียมไว้อย่างหนาแน่น โดยเฉพาะการสาธิตทำยาดมจากเครื่องหอมสมุนไพรไทย ที่มีชื่อเสียงมากในหมู่คนจีน และการทุงของภาคใต้ ที่ใช้เป็นเครื่องพุทธบูชา จึงมีความเป็นมงคลด้วย โดยได้สาธิตทำสดๆ ภายในคูหา และเปิดพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวที่สนใจทำเองและนำกลับไปเป็นของที่ระลึกได้ด้วย อีกทั้งยังมีการออกบูธของ Gwellness จีเวลเนส คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ ที่นำคุณหมอมาช่วยบำบัดความปวดเมื่อยของผู้ที่สนใจเข้ามาทดลองใช้ด้วย ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานสูงเช่นกัน

โดยในส่วนของ ททท.ให้ข้อมูลว่า ททท.ได้วางทิศทางและการดำเนินงานตลาดจีน ผ่าน 4 ด้านหลัก ได้แก่

1.เจาะกลุ่มศักยภาพที่สามารถเดินทางได้ทันที ทั้งกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน เที่ยวคนเดียว เที่ยวกับครอบครัว ดิจิทัลโนแมด หรือทำงานได้ทุกที่ด้วย

2.เจาะพื้นที่เมือง Sinking Market เพื่อสร้างนักท่องเที่ยวใหม่ๆ ทำการตลาดเชิงรุกในเมืองที่มีอัตราการเติบโตทางการเดินทางและนักท่องเที่ยวที่นิยมออกเดินทางเพื่อการท่องเที่ยว

3.จัดกิจกรรม Joint Promotion ตลอดทั้งปี โดยทำงานร่วมกับ Nationwide Online Platform อาทิ Meituan, Tongcheng, Unionpay, Ctrip, Fliggy เป็นต้น

4.จัดงานอีเวนต์ขนาดใหญ่เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในลักษณะ Gig Tripping หรือกลุ่มแฟนคลับของศิลปินที่ติดตามเข้ามาดูการแสดงโชว์ รวมถึงพักผ่อนท่องเที่ยวไปในตัว

ผลที่คาดว่าจะได้รับหลังเข้าร่วมงานส่งเสริมการท่องเที่ยวนั้น ต้องการให้ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มเป้าหมายของนักท่องเที่ยวจีนอันดับต้นๆ อย่างต่อเนื่อง โดยการนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่สามารถสร้างประสบการณ์และบริการที่มีคุณภาพสูงในแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ วัฒนธรรม และประสบการณ์ระดับพรีเมียม อาทิ นักท่องเที่ยวที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และกลุ่มที่นิยมการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ ซึ่งเป็นที่นิยมในจีนและสามารถสร้างรายได้ให้แก่ประเทศไทยอย่างยั่งยืน คาดว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนให้เข้ามาเยี่ยมชมประเทศไทยเพิ่มขึ้น ทั้งในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เคยเที่ยวไทยแล้ว รวมถึงกลุ่มเที่ยวไทยเป็นครั้งแรกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น ในปี 2568 ยังเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี ไทย-จีน ถือเป็นโอกาสที่สำคัญในการสร้างบรรยากาศการเฉลิมฉลองผ่านแนวคิด “เที่ยวเมืองไทย ยิ่งเที่ยวยิ่งติดใจ” (โย๋ว ไท่ กั๋ว เยว่ หวาน-เยว่ ซิงซิน) โดย ททท.จะนำแนวคิดดังกล่าว เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ กระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นด้านภาพลักษณ์ของประเทศจาก “Value for Money” ไปสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีมาตรฐานความปลอดภัย ร่วมกับพันธมิตรทางการท่องเที่ยวชั้นนำของตลาดจีนและแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ได้รับความนิยม อาทิ Ctrip, Meituan, Tongcheng, Fliggy Unionpay เพื่อให้นักท่องเที่ยวจีนทุกคนได้รับความสุขและประสบการณ์พิเศษในทุกครั้งที่เดินทางมาประเทศไทย เพราะเที่ยวเมืองไทย ยิ่งเที่ยวยิ่งติดใจ

เมื่อพูดถึงขาเข้าแล้ว ก็ต้องพูดถึงขาออกด้วย เพราะเป็นสองช่องทางที่เดินไปคู่กัน โดยตลาดต่างชาติเที่ยวไทยมีการกระตุ้นให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนตลาดไทยไปเที่ยวนอก แม้ไม่ได้เข้าไปส่งเสริมหรือสนับสนุนมากนัก ก็สามารถเติบโตได้ด้วยตัวเองอย่างน่าอัศจรรย์

จากข้อมูลของ สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (ทีทีเอเอ) ผู้ประกอบการทัวร์เอาต์บาวด์ ระบุว่า ในปี 2567 คาดว่าจะมีคนไทยออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ เติบโตขึ้นถึง 10 ล้านคน แม้ชะลอตัวเทียบจากปี 2562 ก่อนเกิดโควิดที่อยู่ประมาณ 11 ล้านคน เพราะเศรษฐกิจยังไม่ได้ฟื้นตัวอย่างที่คาดไว้ แต่ก็ถือว่าตัวเลขไทยเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นหากเทียบจากปี 2566 ที่มีอยู่ประมาณ 7.5 ล้านคน โดยประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางหลักของตลาดไทยเที่ยวนอก เดิมเป็นญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ แต่เมื่อเกิดกรณีคนไทยไม่ผ่านการพิจารณาของ ตม.เกาหลี จนถูกส่งกลับไทยหลายครั้งเข้าก็เกิดกระแสแบนเที่ยวเกาหลี ทำให้ดูไม่ร้อนแรงเท่าที่เคย ผนวกกับประเทศไทยมีการทำวีซ่าฟรีกับจีนแบบถาวร ทำให้เห็นคนไทยไปเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นแบบพุ่ง 300% โดยเป็นการเก็บข้อมูลในช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา

ระหว่างทริปนี้ ได้มีโอกาสสำรวจแหล่งท่องเที่ยวแลนด์มาร์กสุดฮอตในเซี่ยงไฮ้ด้วย ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ลงเครื่องบินผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองก่อน จุดนี้ถือว่าทำได้ดีเพราะตัวเครื่องรับคิว หรือการสแกนลายนิ้วมือ ตัวเครื่องพูดกับเราเป็นภาษาไทยเลย แถมยังได้ยินภาษาต่างๆ ในเครื่องถัดไปที่ไม่ใช่อังกฤษ ไทย และจีนด้วย ทำให้การผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เป็นเรื่องที่ไม่ยากนัก โดยเฉพาะในตอนที่ไม่ต้องทำวีซ่าระหว่างกันแบบนี้ด้วย

เดอะบันด์ เซี่ยงไฮ้

เริ่มต้นด้วย เดอะบันด์ หรือ หอคอยไข่มุก ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามบริเวณทางเดินเลียบแม่น้ำสายสำคัญของเซี่ยงไฮ้อย่างแม่น้ำหวงผู่ ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่ชมความงดงามได้ทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืน เพราะสร้างเป็นกลุ่มอาคารสถาปัตยกรรมสไตล์ตะวันตก ตั้งอยู่บริเวณเลียบแม่น้ำเป็นทางยาวเกือบ 2 กิโลเมตร ตอนกลางวันจะเป็นวิวอีกแบบ ส่วนกลางคืนจะเปิดไฟประดับตกแต่งแบบไม่มีหวง ยิ่งเพิ่มความสวยอลังการมากเข้าไปอีก แถมมีร้านป๊อปมาร์ตสาขาใหญ่ ร้านอาร์ตทอยที่กำลังเป็นกระแสแรงไม่มีตก ระหว่างการเดินทางจึงได้ยินเสียงคนไทยแว่วเข้ามาทักทายโสตประสาทแบบไม่มีหยุด

หอไข่มุกตะวันออก (The Oriental Pearl Tower)

ต่อเนื่องด้วย หอไข่มุกตะวันออก (The Oriental Pearl Tower) จากตอนแรกที่ดูความงามอีกฝั่ง ก็ต้องมาดูฝั่งที่ตั้งของหอคอยไข่มุกให้เห็นชัดๆ มากขึ้นอีก โดยหอไข่มุกเพื่อเป็นหอส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ มีความสูง 468 เมตร ด้วยรูปร่างที่เหมือนไข่มุกเกิดความงดงามแปลกตา จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าไปเยี่ยมชมแบบหนาตามากๆ

อาคารพันต้นไม้ (Tian An 1000 Trees)

ไปต่อไม่หยุดกับ อาคารพันต้นไม้ (Tian An 1000 Trees) เป็นกลุ่มอาคารริมแม่น้ำซูโจว ที่จัดขนาดความสูงลดหลั่นกันเหมือนภูเขา ประดับตกแต่งด้วยต้นไม้มากกว่า 1,000 ต้น เป็นทางเดินเลียบแม่น้ำไปถึงสะพานสูงที่ถ่ายรูปออกมาแล้วสวยเหมือนอยู่ในภาพวาด และแน่นอนว่าตลอดการเก็บแลนด์มาร์กท่องเที่ยวนี้ พบเจอคนไทยที่ส่งยิ้มให้กันและกันตลอดทางเช่นกัน

ต้องยอมรับว่าจีนเป็นประเทศที่สร้างแหล่งท่องเที่ยวขึ้นมาเอง (แมนเมด) ได้ดีมากไม่แพ้ประเทศใดในโลก สะท้อนจากความสามารถในการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าไปเยี่ยมเยือนตลอดเวลา รวมถึงนักท่องเที่ยวไทยด้วย ภาพประเทศจีนในปัจจุบันสามารถกลบภาพจำของเมืองจีนในอดีตได้จนมิดทั้งหมด

หากไทยต้องการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวตามเป้าหมายที่ 40 ล้านคน สร้างรายได้ 3.5 ล้านล้านบาท หรือเติบโตมากขึ้นไปอีกในอนาคต เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ และทำให้ภาคการท่องเที่ยวไทยยั่งยืน คงต้องเร่งเครื่องสร้างแลนด์มาร์กใหม่ๆ ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวเพิ่มเติมแล้ว

และต้นแบบระดับโลก หนึ่งในนั้นไม่พ้น เมืองจีน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image