กกร.เคาะจีดีพีปี 67 โต 2.8% อานิสงค์ส่งออกโตดี ประเมินน้ำท่วมเสียหาย 8-8.5 หมื่นล้าน แนะรัฐบาลรับมือนโยบายทรัมป์

กกร.เคาะจีดีพีปี 67 โต 2.8% อานิสงค์ส่งออกโตดี ประเมินน้ำท่วมเสียหาย 8-8.5 หมื่นล้าน แนะรัฐบาลรับมือนโยบายทรัมป์

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า ที่ประชุมกกร. ประมาณการเติบโตเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทยปี 2567 จะขยายตัวได้ 2.8% ต่อปี โดยเป็นการปรับเพิ่มประมาณการจากเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 ที่คาดว่าจะอยู่ในช่วง 2.6-2.8% ต่อปี

นายสนั่น กล่าวว่า โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกที่ดีกว่าที่คาด โดยคาดว่าส่งออกทั้งปี 2567 จะเติบโตได้ 4% จากเดือนพฤศจิกายน 2567 ที่มองว่าการส่งออกจะเติบโต 2.5 – 2.9% พร้อมทั้ง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ ส่งอัตราเงินเฟ้อปี 2567 คาดว่า 0.5% ทั้งนี้ คาดว่าจีดีพีจะโตได้ราว 4% ในไตรมาสที่ 4 ปี 2567

นายสนั่น กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมที่ของประเทศไทยในปีนี้ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ประเมินความเสียหายไว้ประมาณ 7.5 หมื่นล้านบาท หรือ คิดเป็น 0.5% ของจีดีพี

ADVERTISMENT

นายสนั่น กล่าวว่า ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ถือว่าเป็นหนึ่งในภัยพิบัติที่เกิดขึ้นรวดเร็วและรุนแรงเช่นกัน เบื้องต้น พบว่า หากสถานการณ์คลี่คลายได้เร็ว น่าจะมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 5 พัน – 1 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 0.03 –0.06% ของจีดีพี โดยพื้นที่ภาคการเกษตรได้รับผลกระทบมากที่สุด รวมถึงย่านการค้าสำคัญของ จ.สงขลา ทั้งนี้ หากรวมความเสียหายของน้ำท่วมภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ น่าจะมีความเสียหายราว 8 – 8.5 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 0.6% ของจีดีพี

นายสนั่น กล่าวว่า ขณะที่ปี 2568 ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวได้ท่ามกลางความไม่แน่นอน โดยมีแรงส่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง และมาตรการภาครัฐทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ที่กำลังจะทยอยออกมา อาทิ การช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)การปรับกฎหมายเกี่ยวกับการเช่าที่ดินระยะยาว 99 ปีเพื่อดึงดูดการลงทุน และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งปีหลังมีความเสี่ยงจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าส่งออกหลัก อาทิ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ เม็ดพลาสติก และยางล้อ

ADVERTISMENT

“เพราะฉะนั้น ที่ประชุม กกร. จึงขอเสนอให้ภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกันเตรียมความพร้อมรับมือเจรจาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภาษีนำเข้าและส่งออกกับสหรัฐที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า นอกจากนี้ กกร.ขอชื่นชมภาครัฐที่สามารถเจรจาความตกลงการค้าเสรี ระหว่างประเทศไทยและสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป หรือ อีเอฟทีเอ ประกอบด้วย สวิตเซอร์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ ไอซ์แลนด์ และนอร์เวย์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการค้าของประเทศไทยในอนาคต”นายสนั่น กล่าว

นายสนั่น กล่าวว่า อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลกปี 2568 เผชิญความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้า ภายหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และประกาศจะใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าเป็นนโยบายทางการค้า ทำให้ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2568 จะอยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอน โดยมีโอกาสเติบโตได้ต่ำกว่า 3% ส่วนเศรษฐกิจจีนมีโอกาสเติบโตได้เพียง 4.0-4.5% ขณะที่อาจกระทบการเติบโตของประเทศในอาเซียนได้มากทั้งจากการส่งออกไปจีนที่จะลดลง การส่งออกโดยภาพรวมที่จะลดลงเนื่องจากถูกทดแทนด้วยสินค้าจีน และการลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัว

นายสนั่น กล่าวว่า รวมทั้ง คาดว่ามาตรการทางด้านภาษีจะเริ่มเกิดขึ้นในช่วงกลางปี 2568 เป็นต้นไป นโยบาย Trump 2.0 จะไม่จำกัดเฉพาะสินค้าจากจีนเท่านั้น แต่จะเป็นการเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าจากทุกประเทศ โดยอาจจะขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 60% และจากประเทศอื่นๆ เป็น 10-20% รวมถึงจะใช้การเก็บภาษีเป็นนโยบายในการต่อรองกับคู่ค้า เช่น เม็กซิโก แคนาดา และกลุ่มบริกส์ ซึ่งการขึ้นภาษีกับจีนอาจเกิดขึ้นได้เร็ว โดยเฉพาะกับสินค้าที่สหรัฐฯ เคยเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นในช่วง Trump 1.0

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image