เหมืองทองอัครา
สานภารกิจปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ยั่งยืนระดับโลก!!
แม้กระบวนอนุญาโตตุลาการ ระหว่าง บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำชาตรี หรือเหมืองทองอัครา และรัฐบาลไทยจะยังไม่ได้ข้อยุติ โดยถูกเลื่อนการอ่านคำตัดสินเป็นเดือนกันยายน 2568
ต้นปมจากกรณีวันที่ 1 มกราคม 2560 เหมืองทองอัครา ถูกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สั่งหยุดประกอบกิจการ จนเกิดกรณีพิพาทกับราชอาณาจักรไทย ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทย-ออสเตรเลีย หรือทาฟต้า จนเข้ากระบวนอนุญาโตตุลาการ
ต่อมาประเทศไทยได้เดินหน้านโยบายบริหารจัดการแร่ทองคำ 2560 พร้อมคลอด พ.ร.บ.แร่ 2560 และบริษัท อัคราฯ ได้ยื่นขอเปิดดำเนินการอีกครั้งตามขั้นตอนทางกฎหมายของไทย จนสามารถกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้งวันที่ 15 มีนาคม 2566
ผ่านการยกเครื่องซ่อมแซมเครื่องจักรและโรงประกอบโลหกรรม ใช้งบประมาณกว่า 2,600 ล้านบาท ตั้งเป้าป้อนเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยได้กว่า 4,000 ล้านบาทต่อปี ผ่านการสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจในประเทศ การชำระค่าภาคหลวงแร่ และการจ้างงานทั้งทางตรงและผ่านผู้รับเหมาในพื้นที่
โดยพันธกิจของบริษัทฯ คือ การรักษาไว้ซึ่งสถิติการเป็นผู้ประกอบการ “เหมืองแร่ทองคำที่มีความปลอดภัยสูงสุดแห่งหนึ่งในโลก”
บริษัทเลือกใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น นวัตกรรมการควบคุมปริมาณการใช้ไซยาไนด์ การกักเก็บกากแร่โดยไม่มีการปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม บ่อกักเก็บกากแร่ที่มีระบบป้องกันการรั่วซึม ที่ได้การรับรองมาตรฐานระดับสากล การหมุนเวียนน้ำจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่ซึ่งลดปริมาณการใช้น้ำถึง 307,000 ลูกบาศก์เมตรต่อเดือน นวัตกรรมการระเบิดที่ช่วยลดเสียง ลดฝุ่น เพื่อลดผลกระทบต่อธรรมชาติและชุมชนโดยรอบ
ล่าสุด ปลายเดือนพฤศจิกายน บริษัทได้สั่งแคปซูลสำเร็จรูปปิดผนึก หรือที่เรียกว่า “ไอโซเทนเนอร์” (isotainer) มาติดตั้งเพื่อใช้ในกระบวนการประกอบโลหกรรม ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการไซยาไนด์ ดังนี้
1.ลดความเสี่ยงในการสัมผัสสารเคมีของพนักงานที่ปฏิบัติงาน
2.ควบคุมปริมาณการใช้ไซยาไนด์อย่างมีประสิทธิภาพ
3.ไม่มีขยะที่เป็นบรรจุภัณฑ์เหลือทิ้ง โดยการส่งแคปซูลที่ใช้แล้วกลับไปยังผู้ผลิต
นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายความยั่งยืนขององค์กร บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลว่า การลงทุนใช้เทคโนโลยีขั้นสูงมูลค่ามหาศาลนี้ สะท้อนความมุ่งมั่นของอัคราในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้นอีก เพราะเชื่อมั่นว่าความปลอดภัยและความยั่งยืน คือหัวใจสำคัญของทุกอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ บริษัทมีเป้าหมายใหญ่ คือ นำอุตสาหกรรมทองคำไทยเข้าสู่ “ฮับแปรรูปและสกัดทองคำ” ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้กรอบความร่วมมือทางธุรกิจระหว่าง อัครา บริษัท รีฟายนิ่ง โลหะมีค่า จำกัด หรือ “พีเอ็มอาร์ (PMR)” และบริษัท ออสสิริส จำกัด เป็นการเชื่อมต่อสายการผลิตทองคำคุณภาพที่เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ “โดยอัครา-ถลุง พีเอ็มอาร์-สกัด ออสสิริส-แปรรูป”
โดยต่อจากนี้ บริษัทจะเดินหน้าหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยให้สินค้าทองและเงินของไทยผ่านเกณฑ์ FTA เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ จากประเทศคู่ค้า เช่น ลดหย่อนภาษีนำเข้าของประเทศปลายทางจากการใช้ทองคำและเงินที่สกัดและแปรรูปในไทย ตามหลักเกณฑ์มีสัดส่วนมูลค่าการผลิตและวัตถุดิบในประเทศ (Local Content) อย่างน้อย 40% ของต้นทุน สร้างแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการไทยในตลาดต่างประเทศ สอดรับกับนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญในการเข้าทำความตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ เพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมายังประเทศไทย
นายเชิดศักดิ์กล่าวว่า บริษัทตระหนักความสำเร็จทางธุรกิจ ต้องมาพร้อมกับการพัฒนาสังคมและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับชุมชน อัคราจึงให้ความสำคัญกับการดูแล “คน” ด้วยกลยุทธ์ด้านการพัฒนาสังคมและชุมชน ครอบคลุม 4 เสาหลัก ได้แก่
1.การสร้างแหล่งน้ำสะอาดปลอดภัยได้มาตรฐานเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค
2.การยกระดับการศึกษา นอกจากพัฒนาสถานศึกษา ยังพัฒนานักเรียนและผลักดันให้บุคลากรทางการศึกษาได้รับการฝึกอบรมเพิ่มเติม
3.การพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านการสร้างงาน สร้างอาชีพ โดยอัคราและพันธมิตรมีการจ้างงานคนในพื้นที่กว่า 1,000 คน และตั้งเป้าให้ 90% เป็นคนในชุมชน เพื่อลดปัญหาการย้ายถิ่นฐาน สร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันครอบครัว นอกจากนี้ อัครายังส่งเสริมและพัฒนากลุ่มอาชีพต่างๆ ในพื้นที่ เพื่อเพิ่มช่องทางการหารายได้ ตั้งเป้าพัฒนากลุ่มอาชีพให้ครอบคลุมประชาชน 1,700 คน ภายในปี 2570 ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้ทุกคนมีรายได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงปูพื้นสร้างโอกาสให้คนในชุมชนพึ่งพาตัวเองในระยะยาว นอกจากนี้ ยังจัดตั้งคลินิกเกษตรเพื่อส่งเสริมและผลักดันให้เกษตรกรในพื้นที่ทำเกษตรกรรมอย่างปลอดภัย ได้ผลผลิตที่ดียิ่งขึ้น
4.การส่งเสริมด้านสุขภาพ จัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ พัฒนาอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน และให้บริการด้านสาธารณสุขชุมชนผ่านการตรวจสุขภาพประชาชนในพื้นที่ การดูแลสุขภาพเด็กเล็ก และผู้สูงวัย จัดตั้งศูนย์กิจกรรมชุมชน
นายเชิดศักดิ์กล่าวว่า นอกจากนี้ อัคราได้ขับเคลื่อนสังคมให้มีสุขภาพดี ผ่านโครงการตรวจสุขภาพประจำปี ที่เปรียบเสมือนโมบายคลินิก ภายใต้แนวคิด “เหมืองแร่ปลอดภัย ห่วงใยประชาชน” ดำเนินการทุกปีเพื่อดูแลสุขภาพของชาวบ้านในพื้นที่ เปิดให้ชาวบ้านจาก 3 อำเภอ ระยะรัศมี 5 กิโลเมตรรอบเหมือง 28 หมู่บ้าน หรือประมาณ 700 คน เข้าตรวจสุขภาพกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล มอบประโยชน์ต่อชุมชน ดังนี้
-การเข้าถึงบริการสุขภาพ ชาวบ้านสามารถเข้าถึงบริการตรวจสุขภาพได้สะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่าย ช่วยให้ชาวบ้านมีข้อมูลสุขภาพของตนเอง และสามารถเฝ้าระวัง ป้องกัน พร้อมเข้าถึงการรักษาโรคได้อย่างทันท่วงที
-การพัฒนา “ระบบสุขภาพชุมชน” ต่อยอดจากการเก็บข้อมูลด้านสุขภาพในทุกปีทำให้เกิดเป็นระบบสุขภาพชุมชน และกลายเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสุขภาพชุมชนให้เข้มแข็ง ห่างไกลโรคภัยได้อย่างยั่งยืน
นายเชิดศักดิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการผลักดันและส่งเสริมให้สถานประกอบการอุตสาหกรรมเหมืองแร่และอุตสาหกรรมพื้นฐานมีมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมเพิ่มมากขึ้น ผ่านโครงการ CSR-DPIM โดย กพร.ร่วมกับสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอประเมินและทวนสอบอัคราตามเกณฑ์ของ CSR-DPIM เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา อัคราเป็นหนึ่งในสถานประกอบการที่ได้รับคัดเลือกให้รับรางวัล CSR-DPIM ประจำปี 2567
“อัครามุ่งมั่นที่จะเป็นเหมืองทองคำคุณภาพของไทย ความยั่งยืนและความปลอดภัยระดับโลก ที่ดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทยและคนไทยทุกคน” นายเชิดศักดิ์ทิ้งท้าย