‘ทีดีอาร์ไอ’มั่นใจศก.ไทยโตได้ถึง3.5% เหตุมีส่งออกสินค้าเกษตรช่วยหนุน

น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการวิจัยและคำปรึกษาระหว่างประเทศ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า ทางทีดีอาร์ไอประเมินว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2560 น่าจะขยายตัวได้ถึง 3.5% โดยมีปัจจัยบวกจากภาคส่งออกที่น่าจะกลับมาขยายตัวได้ที่ระดับ 3% รวมทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่อาจไม่สูงมากนัก เฉลี่ยทั้งปีที่ 53 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จะส่งผลดีต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะยางพาราและอ้อย ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ในกระเป๋าเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลดีต่อการอุปโภคบริโภคตามมา นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยยังได้รับปัจจัยบวกจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล โดยเฉพาะระบบราง ที่มีเม็ดเงินลงทุนกว่าแสนล้านบาท จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้

น.ส.กิริฎากล่าวว่า สำหรับปัจจัยต่างประเทศ ก็ยังถือเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามกันอย่างต่อเนื่อง โดยธนาคารโลกได้คาดการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นเป็น 2.7% จากปีก่อนที่ขยายตัวเพียง 2.3% ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่เศรษฐกิจหลายประเทศปรับตัวดีขึ้น อาทิ สหรัฐอเมริกาที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ขยายตัวเพียง 1.6% อย่างไรก็ตามต้องจับตาจะนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐที่พยายามดึงการลงทุนกลับประเทศ อาจทำให้เกิดการกีดกันทางการค้ากับประเทศจีน ประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐ ซึ่งหากจีนถูกกีดกันจะกระทบการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องไปยังประเทศจีนจำนวนมาก กระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทยตามมา

น.ส.กิริฎากล่าวว่า ส่วนสหภาพยุโรป (อียู) ในปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวได้ถึง 1.5% ซึ่งการถอนตัวของสหราชอาณาจักร (ยูเค) ออกจากอียู ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของอียูและไทยมากนัก เนื่องจากเศรษฐกิจของยูเคเล็กมากเมื่อเทียบกับอียู รวมทั้งไทยส่งออกไปอียูเพียง 1% เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก เนื่องจากส่วนใหญ่ไทยค้าขายกับประเทศในอียูมากกว่า และยังต้องใช้เวลาอีก 2 ปี การถอนตัว อย่างไรก็ตามการเมืองในอียูยังถือเป็นที่น่าจับตา เนื่องจากในปีนี้มีการเลือกตั้งทั่วไปถึง 3 ประเทศ อาทิ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศส ซึ่งแต่ละประเทศมีแนวโน้มที่พรรคการเมืองฝ่ายขวาจะได้รับความนิยมมากขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อนโยบายการเปิดเสรีทางการค้าที่ใช้อยู่ในปัจจุบันให้ถูกตัดลด จะกระทบต่อการส่งออกของไทยในอนาคต

น.ส.กิริฎากล่าวว่า ส่วนประเทศกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมัน มีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกประเทศ เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น อาทิ รัสเซียที่จะกลับมาขยายตัวเป็นบวก 1.5% จากปีก่อนที่ติดลบ เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศละตินและเเคริบเบียน ที่ขยายตัวเป็นบวก 1.2% ภูมิภาคตะวันออกกลางขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 3.1% ส่วนประเทศอินเดียถือเป็นประเทศที่มาแรงมาก โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวจะเพิ่มขึ้นเป็น 7.6% จากนโยบายการเปิดการค้าเสรีและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ ส่วนจีนแม้ว่าจะขยายตัวจะชะลอลง แต่ก็ยังขยายตัวในระดับสูงที่ 6.5% ซึ่งรัฐบาลจีนพยายามปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ โดยลดความร้อนแรงการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กและภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้เกิดการเติบโตในระยะยาว อาจส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ กระทบต่อการส่งออกได้

Advertisement

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image