นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เปิดเผยว่า ปี 2559 สถานการณ์อาหารของไทยมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามเพราะอาจกระทบต่อปริมาณการผลิตจนส่งผลต่อการส่งออก คือ ปัญหาภัยแล้งที่ทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรมีแนวโน้มลดลง ปัญหาเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวจนกระทบต่อกำลังซื้อของหลายประเทศที่เป็นลูกค้าไทย โดยเฉพาะประเทศที่มีรายได้จากการส่งออกน้ำมัน ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ภัยสงคราม ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการใช้แรงงานผิดกฎหมาย(เทียร์3)และการทำประมงผิดกฎหมาย(ไอยูยู) ที่อาจกระทบต่อสินค้าในหมวดอื่นของไทยในอนาคต ราคาน้ำมันโลกลดลง และอีกปัญหาคือ การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของประเทศสำคัญ อาทิ การลดค่าเงินหยวนของจีน การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของญี่ปุ่น โดยสินค้าเกษตรที่ได้รับผลกระทบโดยตรง มี 3 ชนิดหลัก คือ ข้าวที่ผลผลิตใหม่จะขาดแคลน น้ำตาลที่ปริมาณและความหวานลดลง และมันสำปะหลังที่ผลผลิตเข้าโรงงานลดลง คาดว่าปีนี้ผลผลิตจะอยู่ที่ -8.1% -1.2% และ-1.0% และมูลค่าส่งออกส่วนใหญ่ลดลง อยู่ที่ -3.5% 0.1% และ-1.5% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าอีก 6 ชนิด ที่สถานการณ์ยังเดินไปได้ คือ ไก่ ปลาทูน่ากระป๋อง กุ้ง เครื่องปรุงรส สับปะรด และอื่นๆ คาดว่าผลผลิตจะเพิ่มขึ้น อยู่ที่ 3% 10% 10% 10% 10% และ 15.7% และมูลค่าเพิ่มขึ้นเช่นกัน อยู่ที่ 3% 10% 10% 10% 5% และ11.3% เพราะผู้ประกอบการพยายามหาตลาดใหม่ตามนโยบายของภาครัฐ อาทิ ตะวันออกกลาง และได้รับผลบวกจากแผนงานและโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและกระตุ้นการลงทุนของภาครัฐ การขยายตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี(กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) ส่งผลให้ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น รวมทั้งสินค้าอาหารไทยได้รับความเชื่อมั่นด้านคุณภาพและมาตรฐานความปลิดภัย
“คาดว่าปีนี้ปริมาณส่งออกอาหารของไทยปีนี้จะอยู่ที่ 30.96 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.6% จากปี 2558 ซึ่งอยู่ที่ 30.46 แต่มูลค่าส่งออกอาหารของไทยตลอดปีจะอยู่ที่ 950,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.8% น้อยกว่าค่าเฉลี่ย 6.5%ต่อปี ขณะที่ปี 2558 มูลค่า 897,529 ล้านบาท เพราะผู้ประกอบการไทยปรับตัวในการพัฒนาสินค้าและเน้นอาหารสำเร็จรูปมากขึ้น ทำให้มูลค่าเพิ่มขึ้นไปด้วย โดยปัจจุบันสินค้าขั้นต้นมีสัดส่วนส่งออก51% ขณะอาหารสำเร็จรูปมีสัดส่วน 49% เพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับจากปี 2548 ที่ไทยส่งอาหารสำเร็จรูป 35%”นายยงวุฒิกล่าว
นายยงวุฒิ กล่าวว่า สถาบันอาหารอยู่ระหว่างเดินหน้าแผนการทำงานเพื่อให้ส่งเสริมการส่งออกอาหาร และให้สอดคล้องกับนโยบาย 1 ชุมชน 1 อุตสาหกรรมการเกษตรของรัฐบาล โดยจะดำเนินการสร้างโรงงานต้นแบบแปรรูปเกษตรขึ้นในภูมิภาคต่างๆ 5 แห่งทั่วประเทศ เริ่มปีงบประมาณ 2560 คาดว่าจะใช้งบประมาณในการก่อสร้างรวม 300-500 ล้านบาท โดยรูปแบบการดำเนินการจะให้วิสาหกิจชุมชนเข้ามาเช่าพื้นที่ผลิตสินค้าเกษตรแปรรูป โดยจะมีสายการผลิตอาหารแปรรูปที่หลากหลายในแต่ละภูมิภาค อาทิ อาหาร เครื่องดื่ม สารสกัดจากพืช
“การคัดเลือกกลุ่มผู้ประกอบการเข้ามาเช่าโรงงานเกษตรแปรรูปจะเลือกจากผู้ที่มีเทคโนโลยี มีความรู้ด้านอุตสาหกรรมและเกษตร โดยแผนงานดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูปให้ขยายตัว และผลักดันการส่งออกอาหารของไทยติด 1 ใน 10 ของโลก”นายยงวุฒิกล่าว
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การส่งออกอาหารของไทยต้องปรับตัว ผลิตตามความต้องการของผู้บริโภค ควรมุ่งอาหารสำเร็จรูปเพราะอัตราเติบโตต่อเนื่องและมูลค่าสูง นอกจากนี้ควรมุ่งตลาดใหม่ และพยายามรักษาตลาดเก่าที่มีอยู่ ซึ่งทั้งหมดจะช่วยรับมือกับสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้นตลอดจนเศรษฐกิจที่ชะลอตัวได้ อย่างไรก็ตามปัญหาภัยแล้งนั้น ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่เอกชนต้องยอมรับและปรับตัว เพราะคงไม่สามารถเพิ่มปริมาณน้ำให้มากขึ้นได้ ส่วนการวางแผนรับมือภัยแล้งของรัฐบาล มองว่าได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว ทั้งการแจ้งเตือนให้ประชาชนประหยัดน้ำ การขอความร่วมมือชาวนาในการลดพื้นที่ปลูกข้าว ตลอดจนมาตรการลดใช้น้ำในภาคเกษตรทั้งหมด ส่วนตัวเลขการส่งออกที่ไทยพยายามตั้งเป้าหมาย 1,000,000 ล้านบาทนั้น ประเทศไทยสามารถทำได้แล้ว เพียงแต่ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ราคาน้ำมันตกต่ำ ทำให้ราคาสินค้าลดลง กดยอดส่งออกให้ลดลงตามด้วย