ที่มา | ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัท หลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) |
---|---|
ผู้เขียน | ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ |
ทรัมป์สมัยสอง – ในที่สุดโลกการเงินก็เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนเมื่อ Donald Trump เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการ
ช่วงที่ผมกำลังเขียนบทความนี้ Trump อยู่ในตำแหน่งไม่ครบสัปดาห์ ตลาดการเงินมีท่าทีตอบรับในเชิงบวก ดอลลาร์อ่อนค่า ยีลด์ปรับตัวลง ส่งให้ดัชนีหุ้นสหรัฐ S&P500 ทำจุดสูงสุดใหม่ไปเป็นที่เรียบร้อย
แม้ช่วงเวลาสั้นๆ อาจบอกอะไรไม่ได้มาก แต่
นักลงทุนเริ่มเห็นแล้วว่าโอกาสจากนโยบายเศรษฐกิจ ความเสี่ยงที่ต้องระวัง และการรับรู้ของตลาด มีทั้งตามคาดและผิดคาด
สิ่งที่นักลงทุนอยากรู้มากที่สุด คงหนีไม่พ้นว่า S&P500 จะขึ้นต่อหรือไม่ และไปถึงจุดไหน ผมจึงนำตลาดหุ้นสหรัฐมาวิเคราะห์ และแชร์มุมมองให้นักลงทุนไทยได้คิดไปพร้อมกันเป็นเรื่องแรกของ Trump สมัยสอง
เรื่องที่การเข้ามาของ Trump ไม่สามารถสร้าง
การเปลี่ยนแปลงได้ทันทีในปีนี้ คือเศรษฐกิจปัจจุบัน และกำไรของตลาดในช่วงไตรมาสที่สี่ปีก่อน
ตลาดและผมประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้จะขยายตัวในกรอบ 2.5-3.0% เงินเฟ้อทรงตัวราว 2.0-3.0% และ Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง 2-3 ครั้งช่วงครึ่งหลังของปี
ส่วนกำไรช่วงไตรมาสที่สี่ปีที่ผ่านมา คาดว่าจะเติบโตจากปีก่อน 8% นำโดยกลุ่มบริการสื่อสาร เทคโนโลยี และการเงิน ที่มีสัดส่วนสูง สวนทางกับกลุ่มพลังงาน อุตสาหกรรม และสินค้าประจำ ที่กำไรอยู่ในช่วงหดตัว
ในภาพรวม คาดว่ากำไรของ S&P500 จะปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 270 ดอลลาร์ในปี 2025 จากราว 245 ดอลลาร์ในปี 2024 คิดเป็นการเติบโตที่ 10%
ถือว่า Trump เข้ามาในช่วงที่เศรษฐกิจแข็งแกร่ง กำไรของตลาดกำลังเป็นขาขึ้น ถ้าไม่ได้ทำอะไร
ผิดพลาด ปี 2025 ควรเป็นปีที่ดัชนี S&P500
สามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อ
เรื่องที่สองคือ มูลค่า (Valuation) ตลาดอยู่ในช่วงที่หุ้นใหญ่ราคาแพง ทำให้ทั้งตลาดมีโอกาสถูกดัน
Valuation สามารถมองได้หลายมุม แต่ในด้านความถูกแพง ผมมักดู Long-Term P/E (LT P/E) ที่ใช้กำไรเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ปรับเงินเฟ้อเป็น
ตัวหลัก ปัจจุบัน LT P/E ของ S&P500 ที่ระดับ 35.5x ถือว่าสูงมาก เป็นรองแค่ช่วงสูงสุดของ
Covid Lockdown และ Dot Com
ส่วนความเสี่ยงการปรับฐานระยะสั้นบน Valuation ผมมองว่ามักเกิดจากสลับกลุ่มจาก
แพงเกินไปสู่ระดับกลางถึงถูกที่กำไรเติบโตดีขึ้น
การวิเคราะห์ขนาดความเสี่ยง ผมใช้ NTM P/E หรือระดับ P/E จากกำไร 12 เดือนข้างหน้าระหว่าง Market Cap Weight ที่ 22x กับ Equal weight NTM P/E ที่ 16x คิดเป็นความเสี่ยงขนาด 27% สูงเป็นรองเพียงช่วง Dot Com เท่านั้น และถ้าเรามองให้ลึกลงไปที่หุ้นกลุ่ม Magnificent 7 จะพบว่ามี NTM P/E ระดับสูงขึ้นไปอีกที่ 31x หรือแพงกว่าดัชนี S&P500 ถึงกว่า 30%
มองจาก valuation ด้านความถูกแพง ผมเชื่อว่าไม่ง่ายที่ตลาดจะสามารถซื้อขายแพงกว่าระดับนี้ได้ยกเว้นกำไรของหุ้นใหญ่สูงกว่าปีก่อนมากกว่านี้
ดังนั้น เหตุการณ์ที่ผมคาดว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้มากที่สุดคือ การปรับการลงทุนสู่หุ้นขนาดกลางในสหรัฐที่มีกำไรเติบโตใกล้เคียงหุ้นใหญ่ ส่งผลให้ multiple ของตลาดปรับตัวลงเล็กน้อย
ประเด็นสุดท้ายคือ การเปลี่ยนแปลงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากนโยบายของ Trump ผมแบ่งออกเป็น 4 เรื่องหลัก ไล่เรียงจากนโยบายที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยที่สุดไปมากที่สุดในตอนนี้
เรื่องที่ดีที่สุด แต่โอกาสเกิดขึ้นต่ำในปีแรก ผมคาดว่าจะเป็นเรื่องกฎเกณฑ์การประกอบธุรกิจและการลงทุน
Trump มักพูดถึงการเปลี่ยนกฎเกณฑ์การประกอบธุรกิจอยู่สองเรื่องหลักประกอบด้วย การสนับสนุนธุรกิจพลังงานให้มีการขุดเจาะน้ำมันดิบมากขึ้น ผมเชื่อว่าจุดอ่อนอยู่ที่การตอบรับของภาคเอกชน แม้จะมี executive orders แต่ก็ใช่ว่าการลงทุนจะเกิดขึ้นทันที
กลุ่มที่สองที่ Trump มักพูดถึง คือภาคการเงินเน้นไปที่กลุ่มการเงินสมัยใหม่ เช่น Crypto Currency จุดนี้ผมมองว่าตลาดมีความคาดหวังสูงเกินไป เนื่องจากปัจจุบันแทบไม่มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน ดังนั้น กว่าจะเห็นเป็นรูปธรรมจึงอาจต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งปี และต่อให้เกิดขึ้นก็คาดว่าตลาดจะตอบรับแบบ Sell on fact เพราะราคา Crypto ต่างๆ ปรับตัวขึ้นรับข่าวมาตลอดทางแล้ว
นโยบายที่ความน่าจะเป็นลดลงอย่างมาก หลังจากที่ Trump เข้ามารับตำแหน่ง คือเรื่องการกีดกันทางการค้า
เช่นล่าสุด เรื่องการเก็บภาษีกับจีนที่ Trump ให้ความเห็นว่าอาจไม่เกิดขึ้นทันทีในปีนี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณไปถึงประเทศคู่ค้าทั้งหมดให้รีบเข้ามาเจรจากับสหรัฐ
ตรงกับมุมมองของผมในช่วงก่อนหน้านี้ว่า
เป้าหมายของ Trump คือ Trade Deals มากกว่า Trade War เป็นไปได้ว่าในปีแรก เราอาจเห็นการเจรจาการค้าเกิดขึ้นทันที และคาดว่าจะเป็นบวกกับกลุ่มอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสหรัฐ
เรื่องที่สาม คือประเด็นด้านอพยพ คาดว่าจะเห็นการส่งผู้อพยพผิดกฎหมายบางส่วนกลับประเทศ
ผมเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการตั้งเป้าจำนวนผู้อพยพให้ลดลงต่ำกว่า 7.5 แสนคนต่อปี และอาจมีการส่งกลับผู้อพยพผิดกฎหมายบางกลุ่มกลับประเทศเพราะเป็นประเด็นทางสังคมที่มีผลกับการเมืองมากที่สุด
ผมประเมินว่านโยบายนี้ในระยะกลางอาจเป็นความเสี่ยงของเศรษฐกิจสหรัฐในด้านการบริโภคที่
ลดลงตามจำนวนผู้อยู่อาศัย
สุดท้ายและมีโอกาสเกิดขึ้นสูงยังคงเป็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับภาษี
แม้จะไม่ใช่นโยบายที่มีการพูดถึงในสองสามวันแรกที่ Trump เข้ารับตำแหน่ง แต่ผมเชื่อว่า Trump และพรรค Republican มีความต้องการที่จะยืดอายุมาตรการลดภาษี TCJA ออกไป และอาจเห็นมาตราการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมพร้อมกันในปีนี้ด้วย
อย่างไรก็ดี ตลาดไม่ได้ให้ความสนใจกับนโยบายนี้มากนัก เพราะต้องใช้เวลาผ่านสภาและอาจไม่ได้ช่วยทำให้กำไรของตลาดปรับตัวขึ้น แต่ผมมองว่าการปรับสมดุลภาษีของสหรัฐรอบนี้ ท้ายที่สุดอาจเป็นความเสี่ยงของตลาด
เนื่องจากเกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลสหรัฐขาดดุลการคลังมาก ขณะที่บริษัทใหญ่ทำกำไรดีกว่าบริษัทเล็กชัดเจน จึงต้องระวังเรื่องการเก็บภาษีบริษัทใหญ่ภายใต้มาตรการต่างๆ มากขึ้น
โดยสรุป ผมมองว่าดัชนี S&P500 จะมีแรงหนุนหลักจากกำไร แต่มีแรงต้านหลักจากความแพง ส่งผลหักลงกันไป ส่วนฝั่งนโยบายเศรษฐกิจ คาดว่าแรงหนุนหลักจะมาจากการเจรจาการค้า แต่การปรับสมดุลด้านภาษีอาจเป็นลบกับบริษัทใหญ่
ด้วยโอกาสและความเสี่ยงที่หักลบกันหมดผมมองว่า 6000 จุด อาจเป็นระดับดัชนีที่เหมาะสมแล้วในปี 2025 รอตามดูกันครับว่า Trump จะสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับตลาดการเงินและ S&P500 มากแค่ไหนในปี 2568 นี้
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัท หลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน)