พิษทุเรียนส่งออกจีน ปนเปื้อน ส่งผลให้ล้งกดราคากิโลละ 30-50 บาท หากไม่ส่งตรวจหาสารเคมีตกค้าง
นายครองศักดิ์ สงรักษา รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า ผลกระทบจากมาตรการป้องกันสารปนเปื้อนในทุเรียนทำให้ล้งขอต่อรองลดราคา 30-50 บาท/กิโลกรัม (กก.) จากการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับล้งในราคา 200-280 บาท/กก. โดยมีเงื่อนไขให้เกษตรกรนำตัวอย่างผลผลิตไปตรวจรับรองหาสารเคมีตกค้างหากไม่ตรวจราคารับซื้อผลผลิตจะลดลงเหลือ 100-120 บาท/กก.
สำหรับผลผลิตทุเรียนนอกฤดูในพื้นที่ภาคใต้ คาดมีปริมาณรวมมากกว่า 13,000 กว่าตัน เก็บเกี่ยวระหว่างวันที่ 11-31 ม.ค.2568 ประมาณ 4,000 ตัน
จากสถานการณ์ดังกล่าว ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ลงพื้นที่เพื่อรับทราบสถานการณ์ รวมถึงชี้แจงเกษตรกรให้เข้าใจในปัญหาและอุปสรรคการค้าผลไม้ในด้านสุขอนามัยพืชและการบังคับใช้มาตรการสุขอนามัยในสินค้าผลไม้บางชนิดทั้งนี้ การสร้างความเข้าใจให้แก่เกษตรกร เนื่องจากปัญหาด้านสุขอนามัยพืชในสินค้าไม้ผลส่งออก มี 2 สาเหตุหลักได้แก่ การปฏิบัติในแปลง เช่น การใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชและการปฏิบัติในโรงคัดบรรจุ เช่น การใช้สารชุบสี การรม ผลผลิตเพื่อกำจัดแมลง เป็นต้น
ซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม หากมีการตรวจพบจะถูกระงับการนำเข้าทั้งสวนและโรงคัดบรรจุ ถ้าเกษตรกรไม่ระมัดระวังการใช้ใบรับรอง GAP อาจถูกสวมสิทธิในการส่งออกและเมื่อมีการตรวจพบสารตกค้างอาจโดนระงับการอนุญาตนำเข้าได้ แม้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องก็ตาม
ดังนั้นขอให้เกษตรกรผู้ปลูกไม้ผลเพื่อการส่งออกที่ได้รับการรับรอง มาตรฐาน GAP แล้วปฏิบัติตามระบบการผลิตพืชตามมาตรฐานที่ได้รับการรับรองไว้แล้วอย่างเคร่งครัด รวมถึงเน้นย้ำ ความสำคัญของใบรับรองมาตรฐาน GAP และแนวทางป้องกันการสวมสิทธิใบรับรอง GAP โดยใช้ “มาตรการ 4 ไม่ 1 ก” ได้แก่ 1.ไม่ให้ใบรับรองแก่ผู้อื่น 2.ไม่ขายใบรับรองให้บุคคลอื่น 3.ไม่ให้ผู้อื่นถ่ายภาพใบรับรอง 4.ไม่ควรเผยแพร่ ใบรับรองในที่สาธารณะ
และกำกับสำเนาใบรับรองทุกครั้งรวมถึงการควรระบุรายละเอียดการจำหน่ายผลผลิต เช่น วันที่จำหน่าย ผู้รับซื้อ/มือตัดทุเรียน และปริมาณที่จำหน่าย รวมถึงส่งเสริมให้มีการจัดการผลผลิตให้เหมาะสม ต่อสถานการณ์ เช่น การยืดระยะเวลาเก็บเกี่ยว การจำหน่ายช่องทางอื่นๆ เป็นต้น รวมถึงกำชับเจ้าหน้าที่ติดตามในพื้นที่ อย่างใกล้ชิด หากพบเหตุปกติให้แจ้งกรมส่งเสริมการเกษตรทราบโดยด่วน ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถขอรับคำแนะนำได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้านท่าน