พริวิเลจ คาร์ด รับวีซ่าดีทีวีกระทบยอดขาย ปักธงปี 68 โต 10% ปั้นเงินสะพัด 4-5 หมื่นล้านบาท
นายมนาเทศ อันนวัฒน์ เพรสซิเดนท์ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด เปิดเผยว่า ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด ได้ยื่นเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในการปรับปรุงสิทธิพิเศษของบัตร 8 ข้อ เพื่อยกระดับการให้บริการให้ดีขึ้น ทำให้บัตรสามารถแข่งขันได้ดีมากขึ้น โดยตัวเลขเป้าหมายในการจำหน่ายบัตรปี 2568 นี้ ยังต้องรอดูนโยบายของภาครัฐร่วมกับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมที่ขอไป และปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย อาทิ วีซ่าฟรีที่ยังไม่รู้จะต่อถึงเมื่อใด เพราะปัจจัยเหล่านี้มีผลกับเป้าหมายหมดเลย แต่หากพิจารณาจากตัวเลขการรับรู้รายได้และกำไรขณะนี้มั่นใจว่าโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% แน่นอน โดยเฉพาะกำไรในปี 2567 เติบโต 68% เพราะสามารถขายบัตรสมาชิกได้จำนวนมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยย้อนไปเมื่อปี 2565 เราสามารถขายได้ 3,700 ล้านบาท แต่ในปี 2566-2567 มียอดขายรวมกว่า 15,000 ล้านบาท เติบโต 300-400% ตัวเลขจึงโตมากจากการทยอยรับรู้รายได้ และมีการบริหารต้นทุนที่ดี รวมถึงการออกแบบบัตรใหม่ๆ ด้วย
“ปัจจุบันมีฐานสมาชิกภายใต้บัตรไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำนวน 37,000 คน แบ่งเป็นสมาชิกแบบตลอดชีพมีประมาณ 2,500 คน สัดส่วนการใช้งานบัตร ประมาณ 72% ที่มีการเคลื่อนไหวตลอด การใช้จ่ายประมาณ 1.4 ล้านบาทต่อคนต่อปี เข้ามาประมาณ 3 ครั้งต่อปี อาศัยอยู่ในประเทศไทยเกือบทั้งปี หรือจำนวน 300 กว่าวันต่อปี ทำให้ในแต่ละปี เราเป็นส่วนช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 4-5 หมื่นล้านบาท” นายมนาเทศ กล่าว
นายมนาเทศ กล่าวว่า ตามประกาศของรัฐบาล ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป เรื่องใครก็ตามที่อยู่เมืองไทยเกิน 180 วัน มีรายได้จากต่างประเทศและเอาเงินเข้าประเทศ ต้องเสียภาษีเท่าคนไทย ทำให้เกิดความกังวล ส่วนนี้ บริษัทฯ ต้องจัดทำข้อมูลว่าประเทศไทยไม่มีเก็บภาษีซ้ำซ้อนอย่างชัดเจน ซึ่งกรณีนี้ถือว่าส่งผลกระทบกับตลาดเยอะ เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยต้องเสียภาษีแล้วทำไมอยู่ดีๆ จะมาเก็บภาษี แต่ก็มีคำแนะนำว่า อยากให้เก็บภาษี เพราะหากไม่เสียที่ไทยก็ต้องไปเสียให้ประเทศอื่นอยู่ดี ซึ่งการเสียภาษีนี้หากไปเสียที่ประเทศต้นทางแล้วก็ไม่ต้องมาเสียที่ไทยอีกครั้ง ทำให้ชาวต่างชาติบางกลุ่มก็อยากเสียให้ประเทศไทยมากกว่า และอีกเหตุผลก็เป็นเพราะบางประเทศมีการเสียภาษีมากกว่าไทย โดยมองว่าทีมงานบริษัทฯ ถือว่าเก่งมากแล้วที่สามารถรักษายอดขายบัตรสมาชิกปี 2567 ไว้ได้ แต่ปี 2568 ถือว่าท้าทายมากเรื่องยอดขาย เพราะมีปัจจัยหลายๆ อย่างเข้ามาส่งผลต่อเนื่อง
นายมนาเทศ กล่าวว่า การเพิ่มการตรวจลงตรา (วีซ่า) ประเภทใหม่ (ดีทีวี) ตามประกาศของกระทรวงมหาดไทย อนุญาตให้คนต่างชาติอยู่ในประเทศไทยเพื่อท่องเที่ยวและทำงานทางไกลเป็นกรณีพิเศษ สามารถพำนักในประเทศไทยได้ครั้งละไม่เกิน 180 วัน (ต่อได้อีกไม่เกิน 180 วัน) ต้องรายงานตัวทุกๆ 90 วัน อายุการตรวจลงตรา 5 ปี ที่มีผลเดือนสิงหาคม 2567 มองว่าเป็นเรื่องดี เพราะในภาพรวมรัฐบาลยังอยากได้ชาวต่างชาติจำนวนมากเข้ามาอยู่ เพียงแต่ว่าความตั้งใจจะเอาคนนอกประเทศเข้ามานั้น ดันกลายเป็นชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทยอยู่แล้วไปสมัคร บินออกไปข้างนอกแล้วกลับเข้ามาใหม่ จริงๆ ถ้าเพิ่มเงื่อนไขว่าให้พำนักได้สูงสุด 180 วัน (สามารถต่อได้อีกสูงสุด 30 วัน) และ 180 วันก่อนหน้านี้ต้องไม่ได้พำนักในประเทศไทย จะได้คนใหม่ล้วนๆ
“มาตรการยกเว้นวีซ่า (วีซ่าฟรี) แทบจะไม่ค่อยมีผลกระทบต่อบริษัทฯ เท่าไร เพราะชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามา สามารถท่องเที่ยวและพำนักได้สูงสุดแค่ 60 วันเท่านั้น แต่วีซ่าแบบดีทีวี ถือว่ามีผลกระทบมาก จึงมองว่าอยากให้รัฐบาลมีการบูรณาการเรื่องวีซ่าต่างๆ เพราะปัจจุบันวีซ่าใหม่ที่ออกมาก็ฆ่าวีซ่าเก่าๆ ควรจะมีหน่วยงานกลางคอยกำกับดูแล เพื่อไม่ให้วีซ่าประเภทต่างๆ มาฆ่ากันเอง แบ่งแยกไม่ให้ทับซ้อนกัน ไม่ไปกินกันเอง อาทิ วีซ่าดีทีวี ทำให้ชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศ เดินทางออกนอกประเทศแล้วสมัครเข้ามาใหม่ เพราะมีค่าใช้จ่ายแค่ 10,000 บาทเท่านั้น แทนที่จะขายบัตรสมาชิกไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด ได้ในราคาเริ่มต้น 650,000 บาท” นายมนาเทศ กล่าว