สตาร์ตอัพไทย วิเคราะห์ ดีปซีค แทนที่ ChatGPT ในจีนได้ แต่ตลาดโลก ยังต้องใช้เวลา

สตาร์ตอัพไทย วิเคราะห์ ดีปซีค แทนที่ ChatGPT ในจีนได้ แต่ตลาดโลก ยังต้องใช้เวลา

เมื่อวันที่ 29 มกราคม นายชานน จรัสสุทธิกุล ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ FWX แพลตฟอร์มเทรดอนุพันธ์ไร้ศูนย์กลาง และ Forward Labs สตาร์ตอัพฟินเทคด้านบล็อกเชน กล่าวถึงการมาของดีปซีค (DeepSeek) บริษัทสาร์ตอัพปัญญาประดิษฐ์(เอไอ) ต้นทุนต่ำของจีน ที่กระทบผู้นำตลาดอย่าง Nvidia (เอ็นวิเดีย) บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐ ว่า DeepSeek เป็นบริษัท AI สัญชาติจีนที่ก่อตั้งในปี 2023 โดย Liang Wenfeng ซึ่งเคยเป็นผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน AI และ Quant Trading บริษัทนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากการเปิดตัวโมเดล DeepSeek-V2 ที่มีประสิทธิภาพสูงและมีต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำกว่า OpenAI ทำให้เกิดกระแสว่าอาจเป็นคู่แข่งที่สำคัญของ ChatGPT (ปัญญาประดิษฐ์ในด้านแชตบอท)

ซึ่ง จุดแข็งของ DeepSeek ด้านต้นทุนต่ำและเปิดกว้าง นั้น DeepSeek ใช้โครงสร้างสถาปัตยกรรมที่มีประสิทธิภาพสูง แต่ใช้ทรัพยากรในการประมวลผลน้อยกว่า GPT-4 ของ OpenAI มีบางเวอร์ชันที่เปิดให้ใช้งานฟรี หรือสามารถดาวน์โหลดไปใช้งานเองได้ (Open Weight Model) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ดึงดูดกลุ่มนักพัฒนาที่ต้องการสร้างโมเดล AI บนโครงสร้างของตนเองโดยที่โมเดลบางตัวของ DeepSeek มีขนาดเล็กกว่าของ OpenAI ทำให้สามารถรันได้โดยไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ที่ทรงพลังมาก ลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ใช้งานระดับองค์กร

DeepSeek มีการใช้ Chain of Thought (CoT) ซึ่งช่วยให้ AI คิดและให้เหตุผลได้ดีขึ้น โดยเฉพาะกับคำถามที่ต้องใช้กระบวนการคิดเชิงตรรกะ ทั้งมีการเปรียบเทียบว่า DeepSeek-V2 มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ GPT-4 แต่ใช้ทรัพยากรการประมวลผลน้อยกว่า ซึ่ง DeepSeek ได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ซึ่งมุ่งผลักดัน AI ที่พัฒนาในประเทศให้สามารถแข่งขันกับบริษัทตะวันตกอย่าง OpenAI และ Google เนื่องจาก OpenAI ถูกจำกัดการเข้าถึงในจีน DeepSeek จึงมีโอกาสครองตลาดจีนและภูมิภาคเอเชียได้เร็วขึ้น

ข้อจำกัดDeepSeek

1. ข้อมูลที่ใช้เทรนด์โมเดล DeepSeek ถูกพัฒนาโดยใช้ข้อมูลที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลจีน ซึ่งอาจมีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงแหล่งข้อมูลจากตะวันตกเมื่อเทียบกับ OpenAI ส่วนโมเดล AI อาจมีแนวโน้มถูกควบคุมโดยแนวคิดและนโยบายของจีน ทำให้ข้อเท็จจริงบางอย่างอาจถูกจำกัดหรือบิดเบือน

ADVERTISMENT

2. Ecosystem และ API นั้น OpenAI มี Ecosystem ขนาดใหญ่ที่รวม API และเครื่องมือต่างๆ สำหรับนักพัฒนา ซึ่งทำให้สามารถนำ GPT ไปใช้ในแอพพลิเคชันต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ขณะที่ DeepSeek เพิ่งเริ่มต้นและยังไม่มี API ที่รองรับการใช้งานในระดับสากลมากนัก

ความสามารถใช้งานจริง
แม้ DeepSeek-V2 จะมีศักยภาพสูง แต่ในการใช้งานจริง OpenAI มีความแม่นยำและความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่า โดยเฉพาะกับภาษาตะวันตก ส่วนระบบ Chatbot ของ DeepSeek อาจยังไม่ได้รับการพัฒนาให้มีประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) ที่ราบรื่นเท่ากับ ChatGPT

ADVERTISMENT

มาแทน ChatGPT ได้หรือไม่
1.ในตลาดจีน
DeepSeek มีโอกาสสูงมากในการแทนที่ ChatGPT ในตลาดจีน เนื่องจาก OpenAI ถูกจำกัดการเข้าถึง และรัฐบาลจีนสนับสนุนการพัฒนา AI ในประเทศของตนเอง และบริษัทและหน่วยงานรัฐบาลจีนอาจเลือกใช้ DeepSeek เป็นโมเดลหลักแทน OpenAI เพื่อความมั่นคงของข้อมูล
2.ในตลาดโลก
DeepSeek ต้องใช้เวลา เพื่อให้สามารถแข่งขันในระดับโลกได้ เนื่องจาก OpenAI มีข้อได้เปรียบด้าน Ecosystem, ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม หาก DeepSeek สามารถพัฒนา API และเปิดให้ใช้งานในระดับนานาชาติได้มากขึ้น ก็อาจมีโอกาสกลายเป็นหนึ่งในคู่แข่งสำคัญของ ChatGPT

บทสรุป
DeepSeek อาจไม่สามารถแทนที่ ChatGPT ได้ในระดับโลกทันที แต่มีศักยภาพสูงในตลาดจีนและอาจกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของ OpenAI ในระยะยาว และหาก DeepSeek สามารถพัฒนา Ecosystem ให้เทียบเท่ากับ OpenAI และได้รับการยอมรับในระดับสากล ก็อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการโมเดล AI ที่มีต้นทุนต่ำและเปิดกว้างกว่า

โดยในอนาคต ตลาด AI อาจมีการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้น โดยเฉพาะในแง่ของการให้บริการ AI ที่มีความสามารถสูงในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย

DeepSeek อาจแทนที่ ChatGPT ในจีนได้แน่นอน แต่ในตลาดโลก ยังต้องใช้เวลาและการพัฒนาเพิ่มเติม ข้อได้เปรียบ ต้นทุนต่ำ เปิดกว้าง ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ส่วนข้อเสียเปรียบ ข้อมูลจำกัด Ecosystem ยังไม่แข็งแกร่ง ประสบการณ์ผู้ใช้ยังสู้ OpenAI ไม่ได้” นายชานน กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image