อสังหารายกลาง-เล็กซึมพิษ ‘รีเจ็กต์เรต’ รื้อแผนลงทุน เร่งระบายสต๊อก ลุยโมเดลเช่า
วันที่ 29 มกราคม นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพ เพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนธุรกิจปี 2568 เบื้องต้นเน้นขายโครงการเดิม และเปิดตัวใหม่ 6 โครงการ เป็นแนวราบทั้งหมด โดยเป็นโครงการเลื่อนมาจากปี 2567 เพราะภาวะเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีที่แล้วยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว มีปัญหาหนี้ครัวเรือน การรีเจ็กต์เรตยังคงอยู่ระดับสูงถึง 70% ทำให้บริษัทเลื่อนเปิดโครงการมาเป็นปีนี้แทน ทั้งนี้ปัญหาใหญ่ของตลาดอสังหาฯในขณะนี้คือ คนไม่มีกำลังซื้อ การเข้าถึงสินเชื่อยากแทบจะทุกเซกเมนต์ โดยเฉพาะราคาต่ำ 3 ล้านบาทที่ปัญหามากสุด อย่างไรก็ตามอยากให้รัฐบาลมีการออกมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ เช่น ลดค่าโอนและจำนองเหลือ 0.01% ผ่อนปรนมาตรการLTV เป็นต้น
นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด กล่าวว่า แผนธุรกิจปี 2568 บริษัทเน้นการบาลานซ์สต๊อกเก่าที่พร้อมขายพร้อมโอนและการสร้างโครงการใหม่ โดยจะปรับลดการพัฒนาสินค้าสร้างเสร็จก่อนขายลงให้สอดรับกับระยะเวลาขาย เพื่อไม่ให้มีสต๊อกสินค้าไว้มากเหมือนที่ผ่านมา ยังเป็นการเพิ่มความระมัดระวังเรื่องการใช้จ่าย เพราะหากสต๊อกมาก เช่น จากลูกค้ากู้ไม่ผ่าน บริษัทก็ต้องจัดงบทำการตลาดและการขายเพิ่มอีกรอบ
“ปี 2568 ผู้ประกอบการยังต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องรีเจ็กต์เรต ที่แนวโน้มจะยังไม่ปรับตัวลดลง ทำให้สถานการณ์ตลาดอสังหาฯในช่วงครึ่งปีนี้จะเห็นผู้ประกอบการเน้นขายสินค้าเก่า เพื่อรักษากระแสเงินสด ยังไม่กล้าลงทุนใหม่ เพื่อรอเศรษฐกิจและกำลังซื้อฟื้นตัว ส่วนของสถาพรเองก็ต้องรอดูจังหวะเวลาเปิดตัวโครงการใหม่เช่นกัน”นายสุนทรกล่าว
นายนิรัตน์ อยู่ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รีเจ้นท์ กรีน เพาเวอร์ จำกัด ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมรีเจ้นท์ โฮม กล่าวว่า ปี 2568 บริษัทจะเริ่มก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ประมาณ 5 โครงการ สูง 8 ชั้น ประมาณ 5,000 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ย 1.2 ล้านบาทต่อยูนิต ได้แก่ ทำเลหัวหมาก พหลโยธิน 52 สุขุมวิท 93 สุขุมวิท 107 สุขุมวิท 109 ยังมีอีก 2 โครงการใหม่รออนุมัติรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ) ได้แก่ โครงการวุฒากาศและวงศ์สว่าง เป็นอาคารสูงเกิน 30 ชั้น ประมาณ 4,000 ยูนิต ส่วนโครงการที่พระราม4 รอความชัดเจนโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่ภาครัฐจะพัฒนาย่านท่าเรือคลองเตย ถ้าหากบริษัทพัฒนาคอนโดมิเนียมขายราคา 1.5 ล้านบาทต่อยูนิต คงไม่คุ้มกับราคาที่ดินปัจจุบัน จึงชะลอไว้ก่อน
“แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อตลาดอสังหาฯยังไม่ค่อยดี รีเจ็กต์สูง แต่กว่าคอนโดฯแต่ละโครงการจะสร้างเสร็จก็ใช้เวลาเป็นปี ซึ่งปัจจุบันเรามีสต๊อกเหลืออยู่ประมาณ 1,000 ยูนิตหรือ 10% จากที่เปิดไป 9,000 ยูนิต โดยมีแนวคิดปรับรูปแบบการขายใหม่ จากเดิมเป็นการขายขาด จะแบ่งห้องของแต่ละโครงการประมาณ 25% มาทำเป็นการให้เช่าแทน เพื่อรองรับกับเทรนตด์ตลาดปัจจุบัน ที่คนรุ่นใหม่หันมาเช่ามากกว่าซื้อ”นายนิรัตน์กล่าว