คลังชงออกพ.ร.ก.ติดดาบ ‘ก.ล.ต.’ทำสำนวนส่งอัยการเอง เชื่อแต่ละคดีไปสู่ศาลเร็วขึ้น เรียกเชื่อมั่นนักลงทุน

คลัง

คลังชงออกพ.ร.ก.ติดดาบ ‘ก.ล.ต.’ทำสำนวนส่งอัยการเอง เชื่อแต่ละคดีไปสู่ศาลเร็วขึ้น เรียกเชื่อมั่นนักลงทุน จ่อออกบอนด์โทเคนหมื่นล้าน

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 30 มกราคม นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ กระทรวงการคลัง เตรียมเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพิ่มอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการเป็นพนักงานสอบสวน ทำสำนวนเองและส่งอัยการ จะลดขั้นตอนการดำเนินการและให้สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ทันการณ์ และเพื่อให้ ก.ล.ต.มีอำนาจสั่งการและดำเนินการในคดีอาญาได้เร็วในกรณีเหตุการณ์ที่มีผลกระทบในวงกว้าง (High-Impact) จะมีผลบังคับใช้ภายในปี 2568 นี้ หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทำให้การดำเนินคดีผู้กระทำผิดรวดเร็วยิ่งขึ้น เกิดความเสียหายลดลง ปัจจัยดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมามากขึ้น

นายพิชัยกล่าวว่า กระทรวงการคลังอยากเห็น ก.ล.ต.ใช้กฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำเรื่อง Asset-backed, tokenization หรือ token ที่มี Asset-backed เพราะวันนี้ไม่ว่าจะเป็นหลักทรัพย์เดิมหรือสินทรัพย์ดิจิทัล จริงๆ ก็เป็นนักลงทุนกลุ่มเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายย่อยหรือสถาบันทั้งในและต่างประเทศ ต้องเชื่อมกันได้อย่างไม่มีรอยต่อ ปัจจุบันเห็นว่ามีเงินค้างอยู่ในบริษัทหลักทรัพย์ค่อนข้างมาก บางบริษัทมีหลายแสนล้าน อยากจะเห็นบริษัทหลักทรัพย์หันมาประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่มากขึ้น เพราะเป็นผู้ที่มีความเข้าใจเพราะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.อยู่แล้ว เพื่อจะมีส่วนร่วมในการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งดีกว่าจะไปเซตบริษัทใหม่ขึ้นมา และน่าจะทำให้การดำเนินการไหลลื่นไปได้ เพียงแต่เวลานี้จะทรานซิชั่นกันอย่างไรเท่านั้นเอง

นายพิชัยกล่าวว่า กระทรวงการคลังมีแผนให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ออกพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 10,000 ล้านบาท ในรูปแบบ tokenization คล้ายกับ stablecoin วางแผนจะออกภายในปี 2568 นี้ ปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มใหม่และปรับปรุงระบบเดิมเพื่อเชื่อมเข้าด้วยกัน ก็หวังจะสร้างดีมานด์และซัพพลายในตลาดบอนด์ และเฟสต่อไปคงจะพัฒนาไปเชื่อมกับร้านค้าในการซื้อของได้ในอนาคต
“ปกติเวลาจะทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับแบงก์ชาติ จะส่งให้รีวิวอยู่แล้ว เรื่องนี้ก็คงส่งให้ดู อย่างไรก็ตาม กำลังดูแนวทางว่าโมเดลนี้จะให้ใครกำกับดูแลระหว่าง ก.ล.ต.หรือ ธปท.” นายพิชัยกล่าว

ด้าน ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ประธานกรรมการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า การจะออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพิ่มอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่ ก.ล.ต.เป็นพนักงานสอบสวน ทำสำนวนเองและส่งอัยการ เชื่อว่าหากลดขั้นได้ จะช่วยให้ ก.ล.ต.ดำเนินคดีได้เร็วขึ้น แต่ละคดีไปสู่ศาลได้เร็วอย่างน้อย 6-7 เดือน ส่วนคำนิยามของเคส High-Impact ทางบอร์ด ก.ล.ต.คงต้องไปหารือเพื่อกำหนดร่วมกันก่อน ทั้งมูลค่าความเสียหาย/จำนวนผู้เสียหาย

ADVERTISMENT

ศาสตราจารย์ ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า การแก้ไขกฎหมายรอบนี้มีด้วยกัน 4-5 ประเด็น สาระสำคัญคือการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ ก.ล.ต.เป็นพนักงานสอบสวนทำให้สำนวนหรือระยะเวลาดำเนินการกระชับมากขึ้น ในชั้นสอบสวน ก.ล.ต.จะมีการทำงานร่วมกับตำรวจและกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขึ้นอยู่เคสคดีที่จะเข้าเงื่อนไข จะเพิ่มบทลงโทษจากการกระทำความผิดในการซื้อขาย เช่น ชอร์ตเซล ที่จะดำเนินการไปถึงตัวผู้กระทำผิดที่จะต้องรับโทษทางกฎหมาย และเรื่องอื่นๆ จะเกี่ยวข้องกับการยกระดับพวก Gatekeeper ปัจจุบันมีข้อจำกัดเรื่องของดำเนินการ เช่น การเอาผิดกับสำนักงานสอบบัญชี, การเข้มงวด FA เป็นต้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image