เกษตรกรวังน้ำเขียว เชื่อ โลกหลงใหล ‘วานิลลา’ อีก 10 ปีไม่มีเบื่อ หนุนครีเอทผลิตภัณฑ์ยั่งยืน
เมื่อวันที่ 31 มกราคม ที่ อาคารข่าวสด แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เทคโนโลยีชาวบ้าน ในเครือมติชน จัดสัมมนา ‘ไข่ผำ-วานิลลา : เจาะลึกโอกาสธุรกิจพืชเทรนด์ใหม่’ เพื่อสอดรับกับตลาดความต้องการเพิ่มยิ่งขึ้น พร้อมฉายภาพแห่งโอกาส เจาะลึกเทรนด์เศรษฐกิจ สู่พืชแห่งอนาคต ตั้งแต่เวลา 10.30-16.30 น. โดยเปิดให้เข้าร่วมงานฟรี
เวลา 15.15 น. เข้าสู่ช่วง Special Talks หัวข้อ “วานิลลา พืชมูลค่าสูง ปลูกอย่างไร ให้เป็นที่ต้องการของตลาด” นำโดย น.ส.พาพร โตอินทร์ เจ้าของสวนแม่หม่อน อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา และ น.ส.วิสุตา โลหิตนาวี เจ้าของไร่วานิลลา Khao Yai Vanilla จ.นครราชสีมา
ในตอนหนึ่ง น.ส.พาพร เจ้าของสวนแม่หม่อน กล่าวว่า ตามจริงแล้วฟาร์มของเราก่อตั้งมา 10 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งไม่ได้เริ่มต้นจากการปลูกวานิลลามาก่อน เพราะเราปลูกต้นหม่อน หรือ มัลเบอรี่มาก่อน ที่เราปลูกเพื่อรับประทานผล ไม่ใช่หม่อนที่เอาไว้ใช้เลี้ยงไหม
“ถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว มัลเบอรี่เป็นของที่ใหม่มากๆ สำหรับประเทศไทย ไม่ค่อยมีคนรู้จักการเอาผลมาทานกัน ก็เริ่มต้นจากตรงนี้แล้วก็ค่อยๆ เราเป็นแหล่งท่องเที่ยว คาเฟ่ ร้านอาหาร และร้านไอศกรีม
ทีนี้เราก็รู้ว่าการที่เราจะพึ่งพาแค่พืชเพียงชนิดเดียว หรือ ไม่กี่ชนิด จะทำให้ความเสี่ยงของเราค่อนข้างเยอะ เรามีปลูกยางพาราด้วย มัลเบอรี่ และพืชผสมผสานอื่นๆอีกมากมาย แล้วเราก็หาว่าจะมีพืชตัวไหนที่จะเอามาทำคู่กับตัวมัลเบอรี่ เพราะเรารู้ว่ามันมีข้อจำกัดค่อนข้างเยอะหลังจากปลูกมันมาได้ 5-6 ปี” น.ส.พาพรเผย
น.ส.พาพร กล่าวต่อว่า มัลเบอรี่มีอายุการเก็บสั้น และเป็นพืชที่ไม่ได้นิยมแพร่หลายไปทั่วโลก และมีข้อจำกัดในการยืดอายุของตัวผลไม้ เราก็เลยหาว่าพืชไหนที่เราสามารถเก็บได้นาน หลังจากเก็บเกี่ยวไว้ได้โดยที่ไม่ต้องรีบขาย
“เราเคยดูไว้หลายตัวไม่ว่าจะเป็นพืชเบอรรี่อื่นๆ หรือ กาแฟก็ดู แต่ว่าสุดท้ายเราก็มาชอบที่ตัววานิลลามากที่สุด ซึ่งจริงๆมันก็มีความเสี่ยง เพราะเราเลือกตอนที่ยังไม่มีใครทำ เมื่อ 6-7 ปีที่แล้วน่าจะยังเห็นใครเป็นเจ้าตลาด หรือ เป็นเรื่องเป็นราว”น.ส.พาพรชี้
น.ส.พาพรกล่าวต่อว่า ตอนเริ่มแรกที่เราทำเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งมันเกิดจากความบังเอิญที่เราได้ไปเที่ยวงานสีสันดอยตุง ที่เขาจัดทุกหน้าหนาว ซึ่งเขาก็ปลูกกันมานานมาก พอเราได้ไปทานไอศกรีมวานิลลา มันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ทำให้เรารู้ว่า วานิลลาคืออะไร แล้วมันกลายเป็นแรงบันดาลใจว่า เราอยากจะปลูกสิ่งนี้
“มันไม่เหมือนกับไอศกรีมวานิลลาที่ไหนในโลกที่เราเคยกิน มันเป็นครั้งแรกในชีวิตเลย มันเป็นไอศกรีมที่มี Aftertaste ที่ติดลิ้น ติดคอ ติดจมูกแบบที่เรากินจนหมดถ้วยไปแล้ว มันก็ยังหอมอยู่ มันเป็นความประทับใจ” น.ส.พาพรเผย
น.ส.พาพรกล่าวต่อว่า ความบังเอิญที่สอง คือ เราได้ไปเรียนเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ที่ศูนย์อนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ คลองไผ่ อ.สีคิ้ว ซึ่งเป็นการดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี แล้วที่นั่นมีต้นวานิลลาปลูกอยู่ แต่ว่าอาจจะด้วยงบประมาณ ก็ไม่ได้รับการดูแลที่ดีเท่าไหร่ในยุคนั้น
“แต่ว่ามีอยู่ต้นหนึ่งที่พนักงานที่นั่นเขาผสมเกสรเอาไว้ แล้วเราเห็นว่า มันติดฝัก เราก็เลยเข้าใจว่า อ๋อ ไม่จำเป็นต้องปลูกที่ภาคเหนือก็ได้ โคราช หรือ สีคิ้วมันก็ติดฝักเหมือนกัน เราก็เลยคุยกับทางผอ.ศูนย์นั้น ทำให้เราได้เอากลับมาปลูกที่สวน เมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว” น.ส.พาพรระบุ
น.ส.พาพรกล่าวว่า เรามีข้อจำกัดเรื่องเวลา ไม่ได้มีเวลามากพอที่จะไปขยายสเกลของการปลูกวานิลลาให้มันเยอะได้ แต่ข้อดีของเรา คือ เราสามารถเพิ่มมูลค่าให้มันมากได้ เพราะเราแปรรูปเยอะ ซึ่งตนขายแบบเป็นฝักชั่งกิโลน้อยมาก แต่ว่าส่วนใหญ่ที่เราได้ มันมาจากการขายไอศกรีม การขายสินค้าหน้าร้าน และการรับกลุ่มที่มาศึกษาดูงาน
น.ส.พาพรกล่าวอีกว่า เราปลูกวานิลลามาตั้งแต่ก่อนมันเป็นกระแส ซึ่งมันเพิ่งมีกระแสเมื่อปี 2 มานี้เอง ที่เพิ่งมีคนมารู้จักกันเยอะ อาจจะบอกว่ากระแสนี้เกิดจากที่ทาง’เทคโนโลยีชาวบ้าน’ ทำสกู๊ปเรื่องนี้ขึ้นมาก็ได้ เพราะว่าหลังจากนั้นที่สวนเราก็คึกคักมาก
“มันสามารถมองได้ 2 อย่าง จะบอกว่าวานิลลาเป็นพืชกระแสก็ได้ หรือ มองว่าเป็นพืชที่ยั่งยืนก็ได้ ถ้าแบบที่เราทำ เราก็มองว่าเราทำแบบยั่งยืน เพราะว่าเราทำจนกระทั่งมันแปรรูปออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่กินได้เลย แล้วถามว่ามันมีใครไม่ชอบกินวานิลลา มันไม่มีนะ เพราะทุกคนเกิดมาก็ได้กลิ่นวานิลลา มันเป็นกลิ่นที่คนหลงใหล
เราก็เรามองว่า อีก 10 ปี เราจะชอบวานิลลากันไหม ก็ไม่ เราก็เลยมองว่าความชอบ และความหลงใหลในกลิ่นวานิลลาของคนทั้งโลกไม่มีวันหายไป เพราะฉะนั้นตราบใดที่เราทำให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่คนกินได้ มันจะอยู่ยั่งยืน แต่มันจะยั่งยืนถ้าเราปลูก แล้วก็รอว่าเมื่อไหร่จะมีคนมารับซื้อที่หน้าสวน อันนั้นปลูกอะไรก็ไม่ยั่งยืน” น.ส.พาพรชี้
น.ส.พาพรกล่าวว่า ตอนมองว่าไม่ว่าเราจะทำตลาดแบบเรา ที่เป็นตลาดแบบขายปลีก จะทำตลาดขายส่งแบบ B2B หรือ ตลาดแบบไหนก็ตาม ถ้าคุณมองเห็นลูกค้าที่แท้จริง มันจะเป็นสินค้าที่ยั่งยืน แต่ถ้าคุณมองว่าลูกค้าคุณคือคนรับซื้อแบบนั้นมันไม่ยั่งยืน เพราะเขาไม่ใช่ User ตัวจริง