ไข่ผำไทย คิวทอง โลละ 4 พัน! ตะวันออกกลางรุมซื้อ เจาะกลยุทธ์ดันซุปเปอร์ฟู้ดโลก
เมื่อวันที่ 31 มกราคม ที่อาคารข่าวสด แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เทคโนโลยีชาวบ้าน ในเครือมติชน จัดสัมมนา ‘ไข่ผำ-วานิลลา : เจาะลึกโอกาสธุรกิจพืชเทรนด์ใหม่’ เพื่อสอดรับกับตลาดความต้องการเพิ่มยิ่งขึ้น พร้อมฉายภาพแห่งโอกาส เจาะลึกเทรนด์เศรษฐกิจ สู่พืชแห่งอนาคต ตั้งแต่เวลา 10.30-16.30 น. โดยเปิดให้เข้าร่วมงานฟรี
เวลา 14.15 น. เข้าสู่ช่วงสัมมนาในหัวข้อ “ปลดล็อกศักยภาพ ‘ไข่ผำ’ พืชเทรนด์ใหม่ ตอบโจทย์อนาคตยั่งยืน” โดย นายอนุวัฒน์ กำแพงแก้ว ผอ.กลุ่มวิจัยพืชอนาคตใหม่ กรมวิชาการเกษตร และนายณัฐวุฒิ จันทร์เรือง เจ้าของสวนจันทร์เรือง จ.จันทบุรี ชาวสวนรุ่นใหม่ ผู้พัฒนาเลี้ยงผำเชิงอุตสาหกรรม ด้วยวิธีการเลี้ยงในระบบปิดแนวตั้ง
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ปลูกทุเรียน แต่ออกผลปีละครั้ง เลยมีเวลาเหลือจึงศึกษาเรื่องไข่ผำ เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว โดยเมื่อตอนนั้นขายในราคากิโลกรัมละ 15 บาท ซึ่งไข่ผำเป็นพืชที่มีโปรตีนสูงกว่าพืชชนิดอื่น มีวิตามินบี 12 ที่พืชอื่นไม่มี จึงได้ทดลองเลี้ยงรอบบ้าน เลี้ยงในระบบปิดเลี้ยงด้วยน้ำสะอาด ปัจจุบันไข่ผำแบบแปรรูปตนขายกิโลกรัมละ 4,000 บาท ซึ่งต้องมีการเลี้ยงอย่างสะอาด การมีมาตรฐาน GAP และ อย.รับรอง การตรวจเชื้อก่อนส่งขาย
“วิตามินบี 12 เป็นจุดขายของไข่ผำ ช่วยเปิดใจคนญี่ปุ่น ผมแปรรูปออกมาคล้ายมัทฉะ ซึ่งมัทฉะไม่มีวิตามินบี 12 ซึ่งวิตามินบี 12 มีประโยชน์ต่อระบบประสาทและสมอง” นายณัฐวุฒิกล่าว
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า การเลี้ยงระบบปิดแนวตั้ง ช่วยประหยัดน้ำ ใช้น้ำเพียง 50 ลิตรต่อราง สามารถใช้เครื่องกรองน้ำระบบ RO ได้ ต่อมายังช่วยบริหารจัดการแก้ปัญหาแต่ละรางได้ รวมถึงนำเทคโนโลยีจากกรมวิชาการเกษตรมาใช้ทั้งการใช้หลอดไฟ การปรับค่า pH ของน้ำ อีกทั้งสวนของตนมีการติดตั้งระบบพลังงานทดแทน ทำให้ประหยัดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้จำนวนมาก แต่ก่อนใช้ไข่ผำสายพันธุ์ลำปาง แต่ตอนนี้ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์เชียงราย
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ใน 1 ปีมี 3 ฤดู แต่ละฤดูไข่ผำโตต่างกัน ในหน้าร้อนไข่ผำยุบไปทั้งบ่อ จึงมีการทดลองวิธีต่างๆ ทำให้เลี้ยงไข่ผำได้ทุกฤดูกาล โดยรางเล็กภายใน 10 วัน จะผลิตไข่ผำได้ 1 กก. ส่วนรางใหญ่จะผลิตไข่ผำได้ 8 กก. ใช้น้ำที่ผ่านการกรองระบบ RO และฉายแสงยูวีเพื่อฆ่าเชื้อ ใส่ปุ๋ยทั้งเอบีและอินทรีย์ ถ้าอากาศไม่ร้อนก็ใส่ไปเพียงรอบเดียว ถ้าอากาศดีแค่ 7 วันก็สามารถเก็บผลผลิตได้ จากนั้นเวลาเก็บก็ใช้มือ หรือถุงกรอง จะนำไปขายสดๆ, อบแห้ง รวมถึงตอนนี้กำลังพัฒนาให้เป็นสารสกัดของไข่ผำ
“ตอนนี้คิวทองมาก ก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมีคนสนใจขนาดนี้ เราเลี้ยงเงียบๆ มา 4 ปี อยากให้คนมาสนใจเหมือนกัน แต่ไม่มีใครสนใจเลย วันนึงที่มีแสงหรือมีคนเห็นคุณค่าจริงๆ มันมาในวันที่ชีวิตผมเกือบดับเหมือนกัน” นายณัฐวุฒิกล่าว
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ตอนนี้มีกลุ่มลูกค้าตะวันออกกลาง ซึ่งมีกำลังซื้อสูง เป็นมุสลิม ตนเลยไปขอมาตรฐานฮาลาล เขาสามารถซื้อได้สนิทใจ เราได้ไปออกบูธ ดูไบ ซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน และกำลังจะไปออกบูธที่บาห์เรน โดยมีสินค้า ผงไข่ผำ ช็อกโกแลต ด้านยุโรป สโมสรฟุตบอลอังกฤษแห่งหนึ่งติดต่อมาว่า ถ้าสามารถทำผลิตภัณฑ์ที่ให้นักฟุตบอลวิ่งเข้าข้างสนามฉีกซองกิน แล้ววิ่งเข้าไปเตะบอลต่อได้ หรือทำเป็นเส้นพาสต้า บะหมี่ เขาพร้อมที่จะซื้อ เป็นการเปิดโลก เปิดโอกาสให้เราลุยไปตลาดต่างประเทศ ทั้งนี้ มีการทำวิจัยในการเติมสารอาหารตัวอื่นๆ ลงในไข่ผำ เช่น เมื่อทานไปแล้วทำให้หลอดเลือดยืดหยุ่น การเลี้ยงไข่ผำในกลุ่มจุลินทรีย์ในกลุ่มพรีไบโอติกส์ โพรไบโอติกส์ ก็จะมีประโยชน์ต่อลำไส้
“ผมมองตลาดกลุ่มต่างประเทศเป็นหลัก เนื่องจากเขาซื้อโดยไม่มีเอ๊ะ ไม่มีเงื่อนไข ถ้าเขารู้ว่าของเราดีแล้ว มีคุณภาพ ดีต่อสุขภาพ เขาจะไม่กังวลเรื่องราคาว่ามันน่าจะถูกกว่านี้ อันนี้เราตัดปัญหาไปได้เลย เรามีกำลังใจสู้ต่อไปขายต่างประเทศเป็นหลัก กลุ่มประเทศอาหรับสนใจมาก เขาไม่เคยรู้มาก่อน ถ้าเราไปเองได้ก็จะไปยึดหัวหาดได้ก่อน หรือบุกให้เพื่อนๆ พี่น้องๆ ที่กำลังทำ เป็นโอกาสที่ดีในการเลี้ยงไข่ผำแบบนี้ ถีบตัวให้ไปต่อในระยะยาว” นายณัฐวุฒิกล่าว
ด้าน นายอนุวัฒน์กล่าวว่า กรมวิชาการเกษตรได้วิจัยพืชไข่ผำมาแล้วเกือบ 2 ปี ไข่ผำมีขนาด 0.1-1.5 มิลลิเมตร เป็นพืชโตไว อยู่ที่ไหนก็ได้ มีโปรตีนสูง มีวิตามินบี 12 โดยปกติจะพบในเนื้อแดง ปลา ไข่ ตับ ผลิตภัณฑ์จากนม แต่ไม่พบในพืชทั่วไป สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 จ.จันทบุรี ทำงานร่วมกับสวนจันทร์เรืองมาเกือบ 2 ปี โดยนายณัฐวุฒิมีการทดลองออกแบบตัวราง รวมถึงถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้ที่สนใจ ปัจจุบันมีผู้ได้ผ่านการรับรอง GAP ไข่ผำ 9 ราย อยู่ระหว่างการประเมิน 12 ราย ซึ่งมาตรฐาน GAP จะใช้ในการแปรรูป และสามารถส่งออกไปต่างประเทศได้
“ไข่ผำถ้าไม่เจอที่ไปที่มา ไม่มีมาตรฐาน GAP ควบคุม เราจะเจอหนู เจอกบ เจอเขียด ไปว่ายน้ำเล่นได้ หากต้องการแปรรูป หรือจำหน่ายเชิงพาณิชย์ ต้องมีมาตรฐาน GAP มารองรับ ลองถามใจตัวเองดู เราต้องการเพราะเลี้ยงไข่ผำแบบไหน ชุมชน ครัวเรือน หรือเชิงพาณิชย์ ถ้าเชิงพาณิชย์ GAP ต้องมา มาตรฐานต้องได้ คุณภาพต้องมี” นายอนุวัฒน์กล่าว
นายอนุวัฒน์กล่าวว่า ถ้ากรมวิชาการเกษตร ไม่มีเครือข่ายเกษตรกร นักวิจัย ภาคเอกชน ก็ไปไม่ได้ การสร้างเครือข่ายจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคอีสาน เพื่อต่อยอดผลิตภัณฑ์ โดยไปด้วยกันทั้งหมด จะทำให้ไข่ผำไปต่อได้ ไม่ใช่เพียงในประเทศ แต่ไปในต่างประเทศ รวมถึงนอกโลก ไปปลูกบนดาวอังคาร หรือยานอวกาศ ให้นักอวกาศกิน