เฉลียงไอเดีย : ‘เอกนัฏ’ปลดล็อกเงินทุนเอสเอ็มอี อัดฉีดกองทุนประชารัฐฯปลุกฐานราก

เฉลียงไอเดีย : ‘เอกนัฏ’ปลดล็อกเงินทุนเอสเอ็มอี
อัดฉีดกองทุนประชารัฐฯปลุกฐานราก

แม้ปี 2567 ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกกว่า 10.5 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ มีต่างชาติเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทยสูงถึง 3,137 โครงการ มีมูลค่ากว่า 1.13 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี

รวมทั้งยังมีอันดับศักยภาพการแข่งขันโดยรวมอยู่ในอันดับที่ 25 ของโลก ดีขึ้นกว่าปี 2566 ถึง 5 อันดับ โดยเฉพาะในเรื่องของสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับดีขึ้นมากที่่สุดถึง 11 อันดับ จากอันดับที่่ 16 ในปี 2566 ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 5 ของโลกในปี 2567

ส่งผลให้ตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคของไทยจะดูดีขึ้น แต่เมื่อเจาะลึกลงไปถึงโครงสร้างเศรษฐกิจภายใน กลับพบว่ามีความเปราะบางอยู่มาก!!

ADVERTISMENT

เนื่องจากธุรกิจเอสเอ็มอีที่เป็นรากฐานของเศรษฐกิจไทยที่มีจำนวนกว่า 3.2 ล้านราย หรือมีสัดส่วนกว่า 99.5% ของธุรกิจทั้งประเทศ แต่สร้างรายได้เพียง 35% ของจีดีพี ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่มีสัดส่วนไม่ถึง 0.5% กลับสร้างมูลค่ากว่า 65% ของจีดีพีไทย ที่มีมูลค่ากว่า 18.5 ล้านล้านบาท

แสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำระหว่างธุรกิจ เอสเอ็มอีและธุรกิจขนาดใหญ่ของไทยมีอยู่สูงมาก จึงทำให้รายได้ส่วนใหญ่ของประเทศไปกระจุกตัวอยู่กับเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ราย

ADVERTISMENT

⦁รมว.อุตฯดันกองทุนเอสเอ็มอีช่วยธุรกิจย่อย

ดังนั้น จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนในการลดช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างธุรกิจเอสเอ็มอี กับธุรกิจขนาดใหญ่ เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการกระจายรายได้ให้กับประชาชนทุกภาคส่วนของประเทศ

ล่าสุด นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้พุ่งเป้าแก้ปัญหาของเอสเอ็มอีไปที่รากลึกของปัญหานั้นก็คือ การเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม และมีความยืดหยุ่นในการพิจารณาสินเชื่อ โดยใช้กลไกของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ซึ่งจะมีสินเชื่อที่หลากหลายเหมาะสมกับเอสเอ็มอีในทุกความต้องการ ตอบโจทย์ได้อย่างตรงจุด

หากเอสเอ็มอีสามารถปลดล็อกพันธนาการในด้านเงินทุนได้แล้ว ก็มีโอกาสสูงที่จะขยายศักยภาพไปสู่การเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ได้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากในปัจจุบันเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 สามารถต่อยอดให้กับเอสเอ็มอีขยายกิจการไปสู่ธุรกิจขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับกลไกกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐนี้ ได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ในการใช้กองทุนไว้ 4 ด้าน ได้แก่ 1.สร้างโอกาส ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของเอสเอ็มอี ผ่านกลไกกองทุน โดยการพัฒนาโครงการสินเชื่อที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลาย และให้เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างสะดวก รวดเร็ว สอดคล้องกับความต้องการของผู้รับบริการ

2.พัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับลูกค้ากองทุนเอสเอ็มอี โดยการยกระดับจากเอสเอ็มอีขนาดเล็กสู่ขนาดกลางและขนาดใหญ่ รวมทั้งช่วยแก้ปัญหาเพื่อป้องกัน ตลอดจนฟื้นฟูลูกหนี้กองทุนที่มีความเสี่ยง 3.พัฒนาเครือข่ายกองทุนในพื้นที่ โดยบูรณาการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

และ 4.เสริมสร้างขีดความสามารถองค์กรในการบริหารงานกองทุนเอสเอ็มอี

⦁ปี’68ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อ2,500ล้าน

ล่าสุด กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ กำหนดปล่อยสินเชื่อปี 2568 รวม 2,500 ล้านบาท โดยได้ออกสินเชื่อ 2 โครงการใหม่ ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ (เสือติดปีก) และโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจ (คงกระพัน) วงเงินรวม 1,900 ล้านบาท โดยโครงการสินเชื่อเสือติดปีก มีจุดมุ่งหมายช่วยเหลือเอสเอ็มอีในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะด้านการพัฒนานวัตกรรม การปรับปรุงเทคโนโลยีและการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจไทย

มีกลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่ม คือ 1.เอสเอ็มอีที่ได้รับรางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น หรือผ่านการคัดเลือกรอบที่ 1 ของการประกวดรางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่นจากกระทรวงอุตสาหกรรม ในระยะเวลา 3 ปีย้อนหลัง นับถึงวันที่ยื่นขอเข้าร่วมโครงการ

2.เอสเอ็มอีที่ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพจากหน่วยงานของรัฐในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยหน่วยร่วมดำเนินการ หรือสถาบันเครือข่ายภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม

และ 3.เอสเอ็มอีที่ไม่ได้รับรางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น หรือการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ แต่มีความประสงค์เข้ารับการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพตามที่กองทุนกำหนด ซึ่งคุณสมบัติของผู้กู้จะต้องเป็นเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพ และมีขนาดของกิจการตามที่กำหนด เป็นนิติบุคคลสัญชาติไทย ดำเนินกิจการมาไม่น้อยกว่า 3 ปี สามารถนับรวมประสบการณ์การบริหารธุรกิจของผู้บริหารได้ ไม่เป็น NPL หรือถูกดำเนินคดี ณ วันที่ยื่นขอเข้าร่วมโครงการ มีประวัติการชำระหนี้ปกติ และไม่ได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินจากโครงการอื่นๆ ที่กำหนด สามารถยื่นความประสงค์ได้ทั้งลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่

สำหรับรูปแบบการให้สินเชื่อโครงการเสือติดปีก มีกรอบวงเงินรวม 1,200 ล้านบาท วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 15 ล้านบาทต่อราย และเป็นเงินกู้ระยะยาว อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3-5% ต่อปี ขึ้นอยู่กับหลักประกัน ระยะเวลากู้สูงสุด 10 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้นสูงสุด 12 เดือน มีหลักประกัน เช่น ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักร หรือหลักประกันทางธุรกิจหรือมีบุคคลค้ำประกัน

ส่วนโครงการสินเชื่อคงกระพัน มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีในการรักษาสภาพคล่องทางธุรกิจ และเสริมความแข็งแกร่งให้ผ่านวิกฤตทางเศรษฐกิจได้ กลุ่มเป้าหมายและคุณสมบัติของผู้กู้ มีลักษณะเดียวกันกับโครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ (เสือติดปีก) ภายใต้กรอบวงเงินรวม 700 ล้านบาท วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อราย เป็นเงินกู้ระยะยาว อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5-7% ต่อปี ขึ้นอยู่กับหลักประกัน ระยะเวลากู้สูงสุด 3 ปี มีหลักประกัน เช่น ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักร หรือหลักประกันทางธุรกิจ หรือบุคคลค้ำประกัน

ทั้งนี้ โครงการสินเชื่อเสือติดปีก เปรียบเสมือนการติดปีกให้กับเอสเอ็มอี พัฒนาให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น เป็นสินเชื่อที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทย ขณะที่โครงการสินเชื่อคงกระพันเปรียบเสมือนการเสริมเกราะป้องกันให้กับเอสเอ็มอี พัฒนาให้เข้มแข็งและสามารถผ่านพ้นวิกฤตได้ เป็นสินเชื่อที่ซ่อมแซมและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย

โดยทั้ง 2 โครงการ ยังได้การปรับปรุงหลักเกณฑ์ คุณสมบัติและหลักประกันให้เอื้อกับเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพบางกลุ่มที่ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนจากสถาบันการเงินปกติ สามารถเข้ามาขอรับสินเชื่อกับกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐได้ง่ายขึ้น

⦁‘ไรซ์แฟคทอรี่’ผลสำเร็จกองทุน

สำหรับการดำเนินงานของกองทุนที่ผ่านมานั้น ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการเป็นจำนวนมาก มีผู้ที่ขอสินเชื่อสูงถึง 13,661 ราย วงเงิน 25,649.25 ล้านบาท ซึ่งภายใน ปี 2568 ได้วางแผนที่จะเร่งปล่อยสินเชื่อให้ได้อีก 2,500 ล้านบาท ทั้งนี้ กองทุนมีการดำเนินการโครงการส่งเสริมเพื่อยกระดับผู้ประกอบการและขีดความสามารถ ซึ่งคาดว่าจะช่วยยกระดับผู้ประกอบการได้ไม่น้อยกว่า 200 ราย เพิ่มมูลค่าธุรกิจได้กว่า 383 ล้านบาท

หนึ่งในกิจการที่กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ได้เข้าไปมีส่วนในการยกระดับจนประสบความสำเร็จ คือ บริษัท ไรซ์แฟคทอรี่ จำกัด จังหวัดนครพนม

เมื่อเร็วๆ นี้ นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายศุภกิจ บุญศิริ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม น.ส.ณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม และนายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ได้นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่เยี่ยมชมกิจการ นำเสนอความช่วยเหลือจากภาครัฐแบบใกล้ชิด

โดย น.ส.ชบา ศรีสุโน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไรซ์แฟคทอรี่ จำกัด กล่าวว่า บริษัททำธุรกิจแปรรูปข้าวตั้งแต่ปี 2559 โดยเน้นในด้านการผลิตข้าวฮางงอกอินทรีย์ ซึ่งมีสารกาบา (GABA) มากกว่าข้าวกล้อง 30 เท่า มีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยรักษาระบบประสาทส่วนกลาง รักษาสมดุลในสมอง ป้องกันความจำเสื่อม กระตุ้นการผลิตฮอร์โมนที่ช่วยการเจริญเติบโต ชะลอความชรา ป้องกันการสะสมของไขมัน และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันเลือด กระตุ้นการขับถ่าย และป้องกันมะเร็งลำไส้ จึงเหมาะสำหรับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้บริโภคที่รักสุขภาพ

ทั้งนี้ ในช่วงเริ่มบุกเบิกตลาดส่งออกมีผู้ซื้อชาวสิงคโปร์และฮ่องกง ซึ่งมีความเข้มงวดในด้านคุณภาพ และในด้านสิ่งเจือปนสูงมาก ทำให้บริษัทต้องเร่งปรับปรุงระบบการผลิต โดยได้ยื่นขอสินเชื่อของโครงการกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ กระทรวงอุตสาหกรรม และได้รับการอนุมัติสินเชื่อ จำนวน 2.7 ล้านบาท มาซื้อเครื่องจักรคัดแยกสิ่งเจือปน และปรับปรุงโรงงาน ทำให้สินค้าของบริษัทมีคุณภาพสูงขึ้นจนผ่านเกณฑ์มาตรฐานของต่างประเทศ ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นมาก ในปัจจุบันข้าวฮางงอกอินทรีย์มีสัดส่วนส่งออกสูงถึงร้อยละ 70 อีกร้อยละ 30 เป็นตลาดภายในประเทศ

โดยกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ได้ช่วยเหลือธุรกิจได้มาก เพราะมีอัตราดอกเบี้ยเพียง 1% เป็นส่วนช่วยให้เอสเอ็มอีมีกำลังในการต่อสู้มากขึ้น และผ่อนจ่ายหนี้หมดได้ไว สามารถต่อยอดพัฒนาธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม จากกระแสความใส่ใจดูแลสูงภาพที่เพิ่มขึ้นมากทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ จึงทำให้มีความต้องการสินค้าที่เสริมสร้างสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จึงทำให้ข้าวฮางงอกได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากลูกค้าชาวจีน ในช่วงต้นปีบริษัทได้ลงทุนเพิ่มกว่า 4.5 ล้านบาท แต่ก็ยังไม่เพียงพอในการเพิ่มกำลังการผลิต เพราะความต้องการของตลาดมีสูงมาก

ดังนั้น จึงมีแผนที่จะขอกู้ในโครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ (เสือติดปีก) ของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ จำนวน 12 ล้านบาท เพื่อเพิ่มเครื่องจักรและขยายโรงงาน รวมทั้งการจัดทำศูนย์การเรียนรู้ด้านการทำข้าวฮางด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งที่ผ่านมาได้มีกลุ่มเกษตรกร และสถาบันการศึกษาเข้ามาศึกษาดูงานเป็นจำนวนมาก

ส่วนในอนาคต บริษัทมีแผนในการต่อยอดไปสู่การผลิตข้าวฮางงอกพร้อมรับประทาน ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำการวิจัยร่วมกับศูนย์วิจัยเทคโนโลยีแปรรูปอาหาร ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อผลิตข้าวฮางงอกพร้อมทานดังกล่าว สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยเบาหวาน

จากการประเมินเบื้องต้นจะต้องใช้งบลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 7 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ เพื่อพิจารณาขยายการลงทุนต่อไปในอนาคต

หนึ่งในความสำเร็จจากกองทุนเอสเอ็มอีตามแนวทางประชารัฐ เปรียบยารักษาโรคที่ตรงจุดตรงใจเอสเอ็มอี!!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image