ผู้เขียน | ทีมข่าวเศรษฐกิจ |
---|
“รัฐบาลจะผลักดันให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ” คือนโยบายประการแรกของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หรือ นายกฯอิ๊งค์ ที่บรรจุในคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อครั้งที่ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ
โดยนโยบายการแก้หนี้ เป็นสิ่งที่รัฐบาลเพื่อไทยเดินหน้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะในสมัยนายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้า เศรษฐา ทวีสิน ที่มีผลงานแรกคือ มาตรการพักหนี้เกษตรกร ต่อด้วยการพักหนี้ทั้งระบบ ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
แนวคิดการทำมาตรการพักหนี้ มีมาตั้งแต่รัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้แต่ในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยังมีการออกมาตรการแก้หนี้มากถึง 9 ครั้ง และยกให้การแก้หนี้เป็นวาระสำคัญแห่งชาติ
⦁คลอด‘คุณสู้เราช่วย’ลดภาระ2.1ล้านบัญชี
สำหรับรัฐบาลนายกฯอิ๊งค์ ได้ออกเป็นโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ภายใต้ความร่วมมือของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ และสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ
เป็นมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย และผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่มีสถานะค้างชำระหนี้เกิน 30 วันแต่ไม่เกิน 356 วัน หรือ 1 ปี ครอบคลุมลูกหนี้รวมจำนวน 2.1 ล้านบัญชีเป็นลูกหนี้ 1.9 ล้านราย และมียอดหนี้รวมประมาณ 8.9 แสนล้านบาท
ประกอบด้วย 2 มาตรการ ได้แก่ มาตรการที่ 1 “จ่ายตรงคงทรัพย์” ช่วยลูกหนี้สินเชื่อบ้าน รถ และเอสเอ็มอีขนาดเล็กที่มีวงเงินไม่สูงมากให้สามารถคงทรัพย์สินที่ใช้ในการดำรงชีพและประกอบอาชีพเอาไว้ได้ สำหรับสินเชื่อบ้าน หรือโฮม ฟอร์ แคช ไม่เกิน 5 ล้านบาท สินเชื่อรถยนต์ไม่เกิน 8 แสนบาท สินเชื่อรถจักรยานยนต์ไม่เกิน 5 หมื่นบาท และสินเชื่อเอสเอ็มอีไม่เกิน 5 ล้านบาท
มาตรการดังกล่าวจะช่วยปรับโครงสร้างหนี้และลดค่างวดในปีที่ 1 เหลือ 50% ในปีที่ 2 เหลือ 70% ในปีที่ 3 เหลือ 90% และ “พักภาระดอกเบี้ย” เป็นระยะเวลา 3 ปี โดยค่างวดที่จ่ายจะนำไปตัดชำระเงินต้นทั้งหมด ขณะที่ “ดอกเบี้ยที่พักไว้ตลอดระยะเวลา 3 ปี จะได้รับการยกเว้น” ตามเงื่อนไข
วัตถุประสงค์หลัก คือช่วยเหลือลูกหนี้ที่วงเงินไม่สูงมาก ให้สามารถรักษาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันทั้งบ้าน รถ และสถานประกอบการไว้ได้ ลดค่างวดให้ลูกหนี้มีสภาพคล่องเหลือสำหรับดำรงชีพเพิ่มเติมระหว่างอยู่ในมาตรการ ขณะที่ดอกเบี้ยที่ได้รับยกเว้นจะช่วยให้ภาระหนี้โดยรวมของลูกหนี้ลดลง
และ มาตรการที่ 2 “จ่าย ปิด จบ” ช่วยลดภาระหนี้ให้แก่ลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่เอ็นพีแอล แต่มียอดคงค้างหนี้ไม่สูง (ไม่เกิน 5,000 บาท) โดยเป็นการปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้ชำระหนี้ขั้นต่ำเพียง 10% ของยอดหนี้คงค้างเพื่อ “ปิดหนี้ได้ทันที” เพื่อให้ลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้เสียและยอดหนี้ไม่สูง สามารถเปลี่ยนสถานะการเป็นหนี้ จาก “หนี้เสีย” เป็น “ปิดจบหนี้” และเริ่มต้นใหม่ได้เร็วขึ้น
ล่าสุด โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ณ วันที่ 28 มกราคม 2568 มีลูกหนี้ผู้แสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการและอยู่ระหว่างตรวจสอบสิทธิแล้ว 4.97 แสนราย เป็นจำนวน 576,496 บัญชี ยังไม่นับรวมส่วนที่ลงทะเบียนตรงกับสถาบันการเงิน
⦁ธ.ก.ส.นำร่องพักหนี้เกษตรกร
อย่างไรก็ดี ปัญหาหนี้สิน หรือหนี้ครัวเรือนสูงนั้น เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตโควิด-19 จนตัวเลขสัดส่วนหนี้ครัวเรือนขึ้นสูงในระดับ 90% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) และทุกรัฐบาลที่ผ่านมาก็มีนโยบายที่ให้ความสำคัญมาตลอด
ตั้งแต่มาตรการฉุกเฉินในช่วงวิกฤต คือ มาตรการพักหนี้ทั้งระบบ ด้วยการแช่แข็งหนี้ไว้ ไม่นับว่าเป็นการผิดนัดชำระ เมื่อสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือจากวิกฤต รัฐบาลก็เดินหน้า พักหนี้เกษตรกรต่อ ออกโครงการแก้หนี้อย่างยั่งยืน และคลินิกแก้หนี้ แก้หนี้ข้าราชการครูและตำรวจ แก้หนี้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา
สำหรับการช่วยกลุ่มลูกหนี้เกษตรกรนั้น ธ.ก.ส.ได้ดำเนินการโครงการพักหนี้ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งระยะแรก เริ่มตั้งแต่วันที่1 ตุลาคม 2566-30 กันยายน 2567 โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีต้นเงินคงเป็นหนี้กับ ธ.ก.ส.ทุกสัญญารวมกันไม่เกิน 3 แสนบาท ซึ่งมีผู้แจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการฯ จำนวน 1.86 ล้านราย จัดทำเอกสารเพื่อเข้ามาตรการสำเร็จ จำนวนกว่า 1.41 ล้านราย ต้นเงินคงเป็นหนี้ 2.09 แสนล้านบาท
และกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินมาตรการพักชำระหนี้ลูกหนี้รายย่อย ระยะที่ 2 เป็นการแก้ไขปัญหาหนี้ต่อเนื่องให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมมาตรการฯ ระยะที่ 1 กว่า 1.41 ล้านราย โดยเปิดให้ลูกค้าแจ้งความประสงค์แล้วธนาคารจะตรวจสอบข้อมูล ประเมินศักยภาพและความสามารถในการชำระหนี้ (Loan Review) โดยลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไข จะได้รับการพักชำระหนี้ในระยะที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567-30 กันยายน 2568
นอกจากการพักหนี้แล้ว ธ.ก.ส.ยังมีการจัดอบรมและส่งเสริมฟื้นฟูการประกอบอาชีพ ภายใต้หลักการ 3 ลด 3 เพิ่ม 3 สร้าง ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ พร้อมเตรียมตลาดรองรับในการจำหน่ายผลผลิตผ่านภาคีเครือข่ายของธนาคารให้กับลูกหนี้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรในการประกอบอาชีพ มีรายได้เพียงพอและสามารถชำระหนี้ได้ ซึ่งมีผู้ผ่านการอบรม จำนวน 3.15 แสนราย
พร้อมกันนี้ ธนาคารยังได้สนับสนุนเงินทุนผ่านโครงการสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพ ภายใต้มาตรการพักชำระหนี้ให้กับผู้ผ่านการอบรมฯ วงเงินไม่เกิน 1 แสนบาทต่อราย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนและเสริมสภาพคล่องในระหว่างการพักหนี้ โดยมีผู้ใช้บริการสินเชื่อ จำนวน 1.5 หมื่นราย
⦁ออมสินผู้นำการแก้หนี้ยั่งยืน
อีกหน่วยงานที่ให้ความสำคัญกับการแก้หนี้ คือ ธนาคารออมสิน ในยุคของ วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ได้วางภารกิจของออมสินให้เป็นธนาคารเพื่อสังคม และหนึ่งในบทบาทสำคัญของธนาคารคือ การช่วยแก้ปัญหาหนี้สิน สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลนายกฯอิ๊งค์
สำหรับปี 2567 ออมสินได้ช่วยเหลือลูกหนี้ในทุกกลุ่ม ไม่ให้เสียประวัติ หรือเครดิตทางการเงินรวมทั้งสิ้น 2.32 ล้านคน คิดเป็นวงเงิน 9.86 แสนล้านบาท
แบ่งเป็นช่วยลูกหนี้รายย่อย ที่มีการค้างชำระหนี้เกิน 90 วัน เนื่องจากลูกหนี้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ไม่ปกติ (โควิด-19) หรือลูกหนี้รหัส 21 ด้วยการยกหนี้ สินเชื่อฉุกเฉิน 1 หมื่นบาท ให้ 8.3 แสนล้านราย เงินต้น 5.8 ล้านบาท ปรับโครงสร้างหนี้ลูกค้ารายย่อย 2.6 แสนราย เงินต้น 2.24 แสนล้านบาท และการแก้หนี้บุคลากรทางการศึกษา หรือหนี้ครู 1.9 แสนราย เงินต้น 1.32 แสนล้านบาท
ช่วยลูกหนี้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยพักหนี้อัตโนมัติ ไม่คิดดอกเบี้ย นาน 6 เดือน 2 แสนราย เงินต้น 8 หมื่นล้านบาท ช่วยลดภาระหนี้ ด้วยการปรับลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง รวม 0.40% ช่วยลูกหนี้ 8.5 แสนรายลดภาระดอกเบี้ย 1.4 พันล้านบาท และการอัตราการชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด 2.2 แสนราย เงินต้น 1.9 พันล้านบาท
นอกจากนี้ ช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มด้อยคุณภาพ หรือเรียกว่ากลุ่มที่เป็นหนี้เสีย โดยการจัดตั้ง บริษัท บริหารสินทรัพย์ อารีย์ จำกัด (ARI AMC) ขึ้นเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 ซึ่งจัดตั้งเพื่อซื้อหนี้ด้อยคุณภาพของธนาคาร ไปบริหารจัดการต่อ และให้ลูกหนี้ไปปรับโครงสร้างหนี้ได้ด้วย ซึ่งทำให้ได้ปลดออกจากสถานะแบล๊กลิสต์เร็วขึ้น และกลับเข้าสู่ระบบสินเชื่อได้
สำหรับการโอนหนี้นั้น ออมสินได้ทำการโอนล็อตแรกไปแล้ว เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567 จำนวน 1.3 แสนบัญชี วงเงิน 1.1 หมื่นล้านบาท และในช่วงไตรมาส 2-3 ปี 2568 นั้น ออมสินมีแผนจะโอนล็อตใหม่อีก 3.2 แสนบัญชี วงเงิน 2.3 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ในแผนระยะถัดไปจะเปิดให้สถาบันการเงินของรัฐแห่งอื่นๆ เข้ามาขายหนี้ให้ ARI AMR ด้วย
⦁คลังดันพิโกไฟแนนซ์แก้หนี้นอกระบบ
ขณะที่อีกด้านสำคัญ คือ การแก้ไขหนี้นอกระบบ โดยกระทรวงการคลังที่ร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ ออมสิน และ ธ.ก.ส. ผ่านมาตรการสินเชื่อต่างๆ ได้แก่ โครงการสินเชื่อธนาคารประชาชน สินเชื่อเพื่อชำระหนี้สินนอกระบบ สินเชื่อกองทุนหมุนเวียนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากจน มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือและรองรับลูกหนี้นอกระบบที่ลงทะเบียนแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ และสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ
โดย พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ระบุความคืบหน้าของการดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566-30 มกราคม 2568 มีประชาชนที่เป็นหนี้นอกระบบได้รับอนุมัติให้ความช่วยเหลือทางการเงินไปแล้วจำนวน 52,372 ราย ยอดอนุมัติรวมทั้งสิ้น 1,857.17 ล้านบาท
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังมีนโยบายส่งเสริมให้มีการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) เพื่อเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบให้แก่ประชาชนรายย่อยในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ไม่ถูกเอาเปรียบจากเจ้าหนี้นอกระบบที่เรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด
ปัจจุบัน ณ เดือนมกราคม 2568 มีนิติบุคคล (บริษัทจำกัดหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด) ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดำเนินการแล้ว 1,149 ราย ใน 75 จังหวัด และ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567 มีการอนุมัติสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้กับประชาชนรายย่อยสะสมทั้งสิ้น 4,840,118 บัญชี เป็นจำนวนเงินรวม 46,980.33 ล้านบาท โดยเป็นยอดสินเชื่อคงค้าง 388,997 บัญชีเป็นจำนวนเงินรวม 7,297.18 ล้านบาท
⦁ลุยต่อแก้หนี้1ปี-นอนแบงก์
อย่างไรก็ดี ในเรื่องของมาตรการแก้หนี้ยังคงมีออกมาต่อเนื่อง ล่าสุด พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุถึงการหาแนวทางแก้ไขหนี้สิน กลุ่มที่เป็นหนี้เสียเรื้อรัง เกิน 1 ปีขึ้นไป ซึ่งมองว่าแนวทางลดดอกเบี้ย ลดเงินงวดแบบโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ไม่ใช่แนวทางสำหรับกลุ่มนี้ เพราะฉะนั้นต้องติดตามกันต่อไปว่ารัฐบาลจะออกมาตรการแบบไหน
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือลูกหนี้ของประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน หรือนอนแบงก์ ซึ่งใช้กลไกที่รัฐบาลจะให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือซอฟต์โลน 5 หมื่นล้านบาท เพื่อลดภาระต้นทุนให้นอนแบงก์ และให้นอนแบงก์นำเงินดังกล่าวไปใช้ช่วยเหลือลูกหนี้
โดยการช่วยเหลือจะใช้แนวทางเดียวกับโครงการคุณสู้ เราช่วยคือ 1.กรณีลูกหนี้ที่มีปัญหาการผ่อนชำระ จะช่วยลดภาระการผ่อนชำระ และลดดอกเบี้ย และ 2.กรณีลูกหนี้ที่มีสถานะหนี้เสีย หรือเอ็นพีแอล ที่มียอดหนี้ต่ำกว่า 5,000 บาท ให้ผ่อนชำระบางส่วนและปิดจบหนี้ได้เลย โดยทุกมาตรการนั้นนอนแบงก์รับภาระส่วนหนึ่งและรัฐบาลช่วยรับภาระส่วนหนึ่ง คาดหวังว่ามาตรการแก้หนี้ทั้งระบบในรัฐบาลนี้ จะทำให้หนี้ครัวเรือนลดลง 10% หรือเหลือ 80% ต่อจีดีพี
นอกจากนี้ข้อสังเกตสำคัญที่อาจทำให้การแก้ไขหนี้รัฐบาลที่ผ่านมาออกดอกออกผลช้าก็อาจเป็นเพราะไทยนั้นเผชิญปัญหาทางโครงสร้าง คือ เศรษฐกิจที่เจริญเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ โดยจีดีพีปี 2562 ขยายตัว 2.1% ปี 2563 หดตัว 6.1% ปี 2564 ขยายตัว 1.6% ปี 2565 ขยายตัว 2.5% ปี 2566 ขยายตัว 1.9% และปี 2567 คาดว่าจะขยายตัว 2.5% ซึ่งยังไม่ถึงระดับศักยภาพ
โดยการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจหรือจีดีพีนั้น มีความสำคัญต่อเรื่องของรายได้ในกระเป๋าของประชาชน เช่นเดียวกับภาวะที่อัตราเงินเฟ้อปี 2567 ที่ผ่านมา เพียง 0.6% ต่ำกว่า 1% ก็เป็นการสะท้อนถึงการที่ประชาชนไม่มีเงินที่จะจับจ่ายมากนัก
เพราะฉะนั้นการที่เงินของประชาชนน้อย ยิ่งทำให้ภาระค่าใช้จ่ายหนัก หนี้สินก็ชำระกันไหวบ้างไม่ไหวบ้าง และที่แย่คือ ปัญหาการค้างชำระหนี้ หรือทิ้งหนี้ไม่จ่ายแล้ว ลามไปถึงหนี้บ้าน หนี้รถยนต์ ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว เป็นหนี้ที่คนจะไม่ค่อยค้างชำระ เพราะเป็นทรัพย์สินสำคัญ
หากรัฐบาลที่นำโดยนายกฯอิ๊งค์ เดินหน้าเรื่องการผลักดันเศรษฐกิจในเจริญเติบโตได้ในระดับศักยภาพ 3% ต่อปี และเพิ่มนโยบายให้อัตราเงินเฟ้อเข้ากรอบมากกว่า 1% จะเป็นการบรรเทาปัญหาหนี้ครัวเรือนได้
เพราะคนชนชั้นกลางที่พอมีรายได้ก็จะกลับมามีกำลังใช้หนี้ ทำให้ปัญหาหนี้จะเหลือเฉพาะไม่กี่กลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ และรัฐบาลจะได้โฟกัสแค่กลุ่มนั้นๆ และมีโอกาสที่หนี้จะเข้าสู่เป้าหมาย 80% ต่อจีดีพีในอีกไม่กี่ปี
หนี้ครัวเรือนจะลดลงเข้าสู่เป้าหมาย 80% ทันในวาระรัฐบาลนายกฯอิ๊งค์หรือไม่ ต้องติดตาม