KSL ปลื้มปี 67 กำไรเพิ่มฝ่าวิกฤตแล้ง คาดอ้อยเข้าหีบปีนี้เพิ่ม 23% ลุ้นรายได้ 19,000 ล้าน
เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ นายชลัช ชินธรรมมิตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ KSL Group เปิดเผยถึงผลประกอบการในปี 67 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 16,442 ลบ. ลดลง 11% จากปีก่อน 18,449 ลบ. จากปัจจัยภัยแล้งทำให้ปริมาณอ้อยเข้าหีบลดลง อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 918 ลบ. เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน 904 ลบ. จากปัจจัยราคาน้ำตาลตลาดโลกอยู่ในระดับสูง และอัตราการแลกเปลี่ยนเงินบาทอ่อนค่า จึงทำให้ในปี 67 บริษัทฯ มีกำไรใกล้เคียงกับปี 66
ในส่วนของการขายไฟฟ้าผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่องจากการผลิตน้ำตาล ปี 67 บริษัทฯ มีรายได้ 1,500 ลบ. ลดลง 7% จากปีก่อน 1,600 ลบ. จากปัจจัยการปรับลดค่า Ft. ของภาครัฐ ซึ่งจะมีการปรับลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ม.ค. – เม.ย. 68 ตามมติคณะกรรมการ กกพ. อย่างไรก็ตาม การประกาศปรับลดดังกล่าวไม่ส่งผลต่อกำไรรวมของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากสัดส่วนรายได้หลักของบริษัทฯ มาจากธุรกิจน้ำตาล 80 – 90%
สำหรับปีการผลิต 67/68 คาดว่าปริมาณอ้อยในประเทศจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 – 22 หรือ 95 – 100 ล้านตัน จาก 82 ล้านตัน เมื่อเทียบกับปี 66/67 เป็นผลมาจากปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้น และเกษตรกรหันมาปลูกอ้อยเพิ่มขึ้น
บริษัทฯ คาดการณ์ปริมาณอ้อยเข้าหีบปี 67/68 อยู่ที่ 6.75 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 23% จากปี 67 ที่ 5.4 ล้านตัน คาดการณ์รายได้ปี 68 อยู่ที่ 19,000 ลบ. เพิ่มขึ้น 15% จากปัจจัยข้างต้น และกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการเริ่มเดินเครื่องจักรโรงงานน้ำตาลแห่งใหม่ของบริษัทฯ ใน จ.สระแก้ว
“สำหรับราคาน้ำตาลตลาดโลก 67/68 ในช่วงครึ่งปีแรกมีแนวโน้มอยู่ที่ 18 – 20 เซนต์ / ปอนด์ ลดลง 16% จากปีก่อน 24 – 26 เซนด์ / ปอนด์ จากปัจจัยมีสต็อกน้ำตาลในตลาดโลกเป็นจำนวนมาก และค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบ 2 ปี อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังอาจมีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนราคาน้ำตาลตลาดโลกให้สูงขึ้น จากกำลังการผลิตน้ำตาลของอินเดีย และจีนที่ลดลงในต้นฤดูกาลหีบ 67/68” นายชลัชกล่าว
บริษัท ฯ ตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และให้ความร่วมมือกับภาครัฐลดปริมาณการรับซื้ออ้อยถูกลับลอบเผา และส่งเสริมการใช้เครื่องจักรในการเก็บเกี่ยวอ้อยสดอย่างต่อเนื่อง ในฤดูกาลหีบ 67/68 บริษัทฯ มีปริมาณอ้อยไฟไหม้เฉลี่ยทั้งกลุ่มอยู่ที่ 17.85% จากปริมาณอ้อยเข้าหีบ 3.4 ล้านตัน ในขณะนี้ ซึ่งอยู่ภายในกรอบอัตราไม่เกิน 25% ของกระทรวงอุตฯ ตอบสนองนโยบายภาครัฐในการลดฝุ่น PM 2.5 ในฤดูเก็บเกี่ยวจากการเผา
อย่างไรก็ตาม มาตรการของภาครัฐที่ออกมานั้น ถึงแม้จะมีส่วนในการแก้ไขปัญหาด้านฝุ่น PM 2.5 บรรเทาผลกระทบให้ประชากรโดยรวมของประเทศ แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่า มาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกรชาวไร่อ้อยในเรื่องของต้นทุนการเก็บเกี่ยวที่เพิ่มขึ้น
“มาตรการเพิ่มราคาอ้อยสด 120 บาท / ตัน ไม่สะท้อนต้นทุนการเก็บเกี่ยวอ้อยสด 200 – 250 บาท / ตัน ในขณะที่อ้อยเผามีต้นทุนการเก็บเกี่ยวที่ 100 – 150 บาท / ตัน จึงทำให้ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการลดปริมาณอ้อยเผาได้ในทุกพื้นที่” นายชลัช กล่าว
ในขณะ อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล กำลังตกเป็นจำเลยสังคมในด้านการสร้างมลพิษทางอากาศ กลับมีข้อมูลจากโครงการขายคาร์บอนเครดิตจากอ้อยเปิดเผยถึง ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่อ้อยอายุ 1 ปี สามารถดูดซับได้อยู่ที่ 5800 กิโลกรัมคาร์บอน /ไร่ ถึงแม้ในกระบวนการปลูก ใส่ปุ่ย ตัดอ้อยและขนส่งถึงโรงงาน จะมีการปล่อยก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ 1400กิโลกรัมคาร์บอน / ไร่ ก็ยังสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซดได้ถึง 4,400 กิโลกรัมคาร์บอน / ไร่
“อ้อยสดสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนฯ ได้ 4,400 กิโลกรัมคาร์บอน / ไร่ ในขณะที่อ้อยไฟไหม้จะะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นอีก 3,850 กิโลกรัมคาร์บอน / ไร่ ถึงแม้จะมีการปล่อยก๊าชคาร์บอนฯ ก็ยังสามารถดูดซับได้ 550 กิโลกรัมคาร์บอน / ไร่ ประเทศไทยมีการปลูกอ้อย 10 ล้านไร่ / ปี สามารถดูดซับก๊าชคาร์บอนฯ ได้ถึง 40,000 ล้านกิโลกรัมคาร์บอนฯ / ปี โดยประมาณซึ่งสามารถช่วยลดภาวะเรือนกระจกและช่วยลดภาวะโลกร้อนได้” นายชลัช กล่าว