สุรเกียรติ์ เปิดเวทีสัมมนาจุฬา กาง 6 ปัจจัยป่วนโลก แนะตั้งผู้แทนรัฐเจรจา ชี้ชะตาอนาคตไทย
เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่งานสัมมนา Chula Thailand Presidents Summit 2025 ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยในหัวข้อ Future Thailand: The Comprehensive View ว่า ความเสี่ยงในด้านสงครามการค้า หากมีการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าในสหรัฐ ผลต่อประเทศไทย คือ หากสหรัฐขึ้นภาษีสินค้าจีน สินค้าจีนจะต้องกระจายไปต่างประเทศ ทางหนึ่งอาจเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งต้องเตรียมรับมือ ว่าจะต่อต้านหรือเข้าร่วมอย่างไร ทิศทางอนาคตของประเทศไทยที่สำคัญจึงเป็นการวางจุดยืนทางการเมือง และยุทธศาสตร์ทั้งภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะการเจรจาร่วมกับสหรัฐ ซึ่งหากภาครัฐ เอกชน นักวิชาการ และภาคประชาสังคมไม่ร่วมมือกันจะมีความอันตรายมาก เพราะการเจรจาระหว่างสหรัฐจะเป็นการเจรจาข้ามภาค ไม่ได้เป็นเพียงการเจรจาในด้านภาษีอย่างเดียวแล้ว ทำให้ประเทศไทยจะมีความอลหม่านมาก ภาคเอกชนจะแตกกัน เพราะผลประโยชน์ต่างกัน รัฐบาลจะมีปัญหาในการทำงานให้เป็นเอกภาพ เพราะรับผิดชอบกันคนละกระทรวง ซึ่งแต่ละกระทรวงก็มาจากพรรคการเมืองคนละพรรคด้วย
นายสุรเกียรติ์ กล่าวว่า สิ่งที่ต้องทำคือ แต่งตั้งผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ไปทำหน้าที่ในการเจรจาหารือในแต่ละประเทศและแต่ละเรื่องตามที่ต้องการ ซึ่งเคยทำมาแล้วในอดีต อาทิ ด้านพลังงาน สุขภาพต่างๆ ซึ่งแต่ละเรื่องที่ต้องหารือในสหรัฐ มีกรรมาธิการเฉพาะเพื่อดูแลในแต่ละกลุ่ม ประเทศไทยจึงต้องตั้งผู้แทนพิเศษเหล่านี้ในการเข้าไปหารือแต่ละสาย อาทิ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นตัวแทนไปหารือในด้านต่างๆ อย่างการเกษตรเป็นต้น
“การต่อรองข้ามภาคลักษณะแบบนี้ ประเทศไทยต้องจับมือกับประเทศในอาเซียน ใกล้ชิดกันมากขึ้น ประเมินว่าสหรัฐสนใจในด้านใด อาทิ อุยกูร์ ที่สหรัฐไม่อยากให้ส่งกลับ รวมถีงเมียนมา ว่าเราจะสามารถหารือร่วมกันได้อย่างไร โดยมองว่าเราจำเป็นต้องรวมพลังภาครัฐในทุกกรม ทุกเอกชนทั้งหมด หากอำนาจต่อรองของไทยไม่พอก็ไปประเทศเพื่อนบ้านลุ่มแม่น้ำโขง หากไม่พอต้องไปอาเซียนทั้ง 10 ประเทศเลย โดยอนาคตของประเทศคือ ประเทศไทยที่มีความพร้อมต่อความปั่นป่วนเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มีความยืดหยุ่น ล้มเป็นลุกเป็น การปรับตัวเปลี่ยนแปลงทั้งความคิด ผสมผสานได้เร็ว ผู้นำทุกภาคส่วนและองค์กรต้องมีความพร้อมในการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงให้ทันสถานการณ์ ซึ่งทั้งหมดนี้เราต้องการความเป็นผู้นำจากรัฐบาล ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม ที่ต้องทำงานร่วมกัน” นายสุรเกียรติ์ กล่าว

นายสุรเกียรติ์ กล่าวว่า ความยั่งยืนกลายเป็นประเด็นที่สำคัญของเศรษฐกิจและธุรกิจ จากเดิมที่มองเป็นต้นทุน ขณะนี้เป็นไปเพื่อความมั่นคง และความมั่งคั่ง รวมถึงการแก้ไขปัญหา อาทิ ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ที่มีข้อมูลสาเหตุและวิธีรับมืออยู่แล้ว สำคัญคือการลงมือทำ ต่อมาเป็นเรื่องการแก้ปัญหาคอรัปชั่นที่หากไม่ลดลง จะทำให้สังคมไม่มีพลัง ไม่มีวันเกิดความยั่งยืนได้ โดยเราต้องหาวิธีทำให้การปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร อาทิ การบริหารความเสี่ยง อย่าใช้จ่ายและลงทุนมากหรือน้อยเกินไป มีความพอเพียง ใช้แบบเพียงพอ โดยตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เป็นการท่องเที่ยว จะต้องดึงความยินดีในการต้อนรับนักท่องเที่ยวออกมา มีการบริหารจัดการการท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ ความปลอดภัยและความมั่นคงในด้านต่างๆ มีความสำคัญมาก รวมถึงความมั่นคงด้านพลังงานทั้งดั้งเดิมและทดแทน หากไม่มีจะเดินหน้าต่อไปลำบาก ประเทศไทยยังต้องการการปฏิรูปทางการศึกษา และการแก้ไขกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายในการส่งเสริมด้านต่างๆ ที่ปัจจุบันกฎหมายไทยเป็นการควบคุมแม้เรื่องที่ต้องการส่งเสริม และจำเป็นต้องปฏิรูปกระทรวง ทบวง กรม และระบบราชการ เพื่อตอบสนองความปั่นป่วนของโลกให้ได้
นายสุรเกียรติ์ กล่าวว่า ความปั่นป่วนของโลก ได้แก่
1. ความปั่นป่วนในด้านเทคโนโลยี เริ่มตั้งแต่เศรษฐกิจดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) แชตจีพีที และเจนเนอร์เรทีฟเอไอ องค์กรต่างๆ ต้องปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ อาทิ ดีฟซีก (DeepSeek) เอไอของจีนที่ประกาศออกมา ทำให้เกิดความปั่นป่วนในหุ้นทั่วโลกที่ตกทันที เพราะการลงทุนที่น้อยกว่า แต่เข้าใกล้ความสามารถของเอไอเบอร์ 1 ได้ อาจเป็นโอกาสของประเทศไทยในการวิ่งตามเทคโนโลยีให้ทันได้ จากเดิมที่ต้องใช้เม็ดเงินสูงมาก ๆ จึงเป็นทั้งมุมบวกและมุมลบในหลาย ๆ
2. ความเปลี่ยนแปลงทางประชาชน ที่มีจีน ไทย สิงคโปร์ และญี่ปุ่น ที่เข้าสู่สังคมสูงวัยแล้ว ประชากรไทย 65-70 ล้านคน หากถึงจุดสูงสุด ประชาชนจะหายไป 20 ล้านคน เศรษฐกิจของไทยจึงอาจไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้นแล้ว เทียบกับเวียดนามที่มี 98 ล้านคน คนหนุ่มสาว 90 กว่าล้านคน การดูแลผู้สูงวัยจึงมีความสำคัญมากขึ้น ทั้งการดูแลสุขภาพ การใช้เอไอเข้ามาดูแลผู้สูงวัย ที่สำคัญมากคือ ทำอย่างไรให้ผู้สูงวัย 60 ปีแล้วยังเข้มแข็ง สมองดี สามารถกลับเข้ามาในตลาดแรงงานได้ เช่นเดียวกับสิงคโปร์ จีน ญี่ปุ่น ที่มีกระบวนการนำเข้ามาบ้างแล้ว ซึ่งถือเป็นความท้าทายของประเทศไทย เพราะไทยยังไม่ได้มีมาตรการในการดูแลผู้สูงอายุได้อย่างเป็นรูปธรรมถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่ออนาคตของประเทศไทย
นายสุรเกียรติ์ กล่าวว่า 3. การเตรียมพร้อมรับมือกับโรคระบาด ที่เคยเห็นมาแล้วในช่วงเกิดโควิด-19 ซึ่งหวังว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก แต่หากเกิดก็ต้องเตรียมพร้อมด้านสาธารณสุขในการรับมือ โดยสภากาชาดสากลได้ประกาศในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ว่าหลังเกิดโควิดแล้ว ประเทศส่วนใหญ่ไม่พร้อมอย่างน่าอันตรายอย่างยิ่งในการรับมือต่อโรคระบาดใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจากสถิติของไทยพบว่า เราใช้เวลากว่า 4 ปีในการออกจากโควิด-19 ทำให้หากเกิดโรคระบาดขึ้นอีกจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยแน่นอน
4. การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่ไม่ใช่โลกร้อนแล้วแต่เป็นโลกเดือด เป็นความหายนะทางภูมิอากาศ อย่างการเกิดอุทกภัยที่รุนแรงมากขึ้นในหลายจังหวัดภาคเหนือและภาคใต้ของไทย ซึ่งไม่ใช่เพียงลูกหลานที่จะอยู่ไม่ได้ แต่รวมถึงพวกเราด้วยที่อยู่ไม่ได้ โดยโลกเดือดที่เกิดขึ้นมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดเวลา รุนแรงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ผลกระทบการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศไม่เลือกคนรวยไม่เลือกคนจน ทำให้ต้องนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาช่วยพัฒนา รับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป อาทิ บ้านแบบใดที่รับมือกับโคลนและน้ำได้
นายสุรเกียรติ์ กล่าวว่า 5. การเปลี่ยนแปลงของงานใหม่ๆ ที่คนตกงานได้ แม้เรียนจบมาในสาขาวิชาที่เคยมีงานทำในอดีต ต้องปรับตัวให้ทัน ใช้เวลาเดินตามเทรนด์ใหม่ให้น้อยที่สุดพร้อมเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนที่เท่าทันโลกรวดเร็ว สร้างบัณฑิตพันธุ์ใหม่ ที่มีอาจารย์พันธุ์ใหม่ในการสอนที่แตกต่างจากเดิมได้ มหาวิทยาลัยจึงต้องปรับตัวด้วยเช่นกัน
6. ความขัดแย้งระหว่างภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การเงินและเทคโนโลยีด้วย แม้ด้านการเงินอาจไม่ค่อยเห็นมากนัก แต่เมื่อมีการนึกถึงทางเลือกใหม่ของระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศขึ้นมา ผ่านการจัดตั้งกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS) ซึ่งไทยได้เข้าร่วมกลุ่มดังกล่าว โดยจัดตั้งกลุ่มมาเพื่อลดการพึ่งพาดอลลาร์ให้น้อยลง ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐได้ประกาศว่า กลุ่มประเทศบริกส์ทั้งหมดจะไม่สามารถส่งสินค้าหากเข้าไปในตลาดสหรัฐ รวมถึงการลงทุนด้วย จะไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันในสหรัฐอีก