2 สตาร์ตอัพ เปิดมุมมองต่อโอกาสการลงทุน ‘Stablecoin-Token’ ตามนโยบายรัฐ
เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ผศ.ดร.อุดมศักดิ์ รักวงษ์วาน (เอ็ม) ผู้ร่วมก่อตั้ง และ ที่ปรึกษา ของ Forward – Decentralized Derivatives Platform และ Forward Labs – Blockchain technology labs และ อาจารย์ภาควิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มองว่าการนำพันธบัตร 10,000 ล้านบาทมา tokenize ในการออก Stablecoin เท่าที่ตนตามอ่านรายละเอียด ยังไม่ได้เยอะมาก แต่เข้าใจว่าจะให้ออกพันธบัตรรัฐบาลเป็น investment tokens
ซึ่งถ้าในแนวคิดนี้ ตนมองว่า “น่าสนใจมาก ๆ” นั่นคือการออกพันธบัตรรัฐบาล ให้สามารถซื้อได้ผ่านตัว tokens แทน เพื่อให้ง่ายต่อรายย่อย คำถามถัดมาคือถ้าออกเป็น stable Baht จะให้ผลตอบแทนอย่างไร? ซึ่งในเชิงเทคนิคก็คงทำได้ โดยนำ Yield จากพันธบัตรรัฐบาลมาจ่าย
สิ่งที่น่าสนใจมีอีกนิดคือ ปกติถ้า นาย A นำเงิน 1,000,000 บาท มาซื้อพันธบัตร นาย A จะเสียเงิน 1,000,000 บาท และได้พันธบัตรไปถือแทน โดยที่เงิน 1,000,000 บาท ก็จะไหลไปที่รัฐบาล เพื่อนำไปใช้จ่ายต่าง ๆ นาย A จะต้องรอจนกว่าจะหมดอายุพันธบัตร หรือขายในตลาดรองเพื่อได้เงินคืน
แต่ถ้าเราใช้หลัก stablecoin มาจับ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ นาย A นำเงิน 1,000,000 บาท มาซื้อพันธบัตร นาย A จะได้เหรียญ THB_Stablecoin ไปถือด้วย และนาย A สามารถเลือกที่จะถือไว้เฉย ๆ เพื่อได้รับดอกผลจากพันธบัตร หรือสามารถใช้ stablecoin ในการใช้จ่ายได้ในกรณีที่อยากได้เงินทันที เป็นการเพิ่ม liquidity ให้กับผู้ซื้อ
มีสองประเด็นที่ต้องคิดต่อคือ 1. ใครจะเป็นคนทำ market making เพราะสำหรับ stablecoin ที่ back โดยพันธบัตร อาจจะมีช่วงที่คนอยากขายเยอะ ทำให้ราคาหลุด peg (เหมือน usual – usd0+) ได้ หรือจะมองว่ามันไม่ต้อง stable ไปเลย? 2. ทั้งหมดที่ตนกล่าวอยู่บนสมมติฐานว่า stablecoin จะออกมาได้ ต้องมี “เงินใหม่” จากประชาชนไหลเข้าไปลงทุนเพื่อถือ stablecoin ถ้ารัฐบาลใช้พันธบัตรในการ peg แล้วออก stablecoin ออกเหรียญมาเฉย ๆ เลย แล้วใช้จ่ายภาครัฐ หรือแจกจ่ายให้กับประชาชน ก็จะเป็นอีกเรื่อง ซึ่งจะเป็นการ flood เงินจำนวนมากเข้าสู่ระบบ ซึ่งระยะสั้นคงกระตุ้นเศรษฐกิจพอสมควร แต่ระยะยาวคงต้องมาคิดต่อว่าจะดึง stablecoin เหล่านี้ออกจากระบบอย่างไร ซึ่งตนหวังว่าคงไม่ได้ออกมาในรูปแบบนี้
ด้านนายชานน จรัสสุทธิกุล Co-Founder และ CEO ของ Forward Labs สตาร์ตอัพฟินเทคด้าน Blockchain และ CEO ของ INTNODE แสดงความคิดเห็นต่อประเด็น Stable Coin ไทยบาทว่า ก้าวใหม่ของสินทรัพย์ดิจิทัล หรือความท้าทายที่ต้องจับตาการออก Stable Coin ไทยบาท มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจพลิกโฉมตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทย แต่ความสำเร็จของโครงการนี้จะขึ้นอยู่กับ ทิศทางการกำกับดูแลของภาครัฐ ว่าจะสามารถ กระตุ้นการเติบโตของอุตสาหกรรม โดยไม่สร้างข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้งานจริงได้หรือไม่
หนึ่งในประเด็นหลักที่ต้องจับตาคือ โครงสร้างพื้นฐานของบล็อกเชนไทย ซึ่งปัจจุบันแม้จะมี Bitkub Chain, JFin Chain และ JIB Chain แต่ยังขาด Interoperability หรือความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูลกับเครือข่ายอื่นๆ หากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไข ไทยอาจพลาดโอกาสในการเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลระดับสากล
อีกปัจจัยสำคัญคือ มาตรการ KYC (Know Your Customer) ที่อาจจำกัดการเข้าถึง หากข้อกำหนดนี้เข้มงวดเกินไป ผู้ใช้งานจำนวนมากอาจไม่สามารถเข้ามาในระบบได้ เปรียบเทียบกับ Base Chain ของ Coinbase ซึ่งไม่มีข้อกำหนด KYC และสามารถดึงดูดเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบได้อย่างมหาศาล หากไทยต้องการแข่งขันในระดับโลก อาจต้องพิจารณาความสมดุลระหว่างการกำกับดูแลและการเปิดตลาด
นอกจากนี้ การนำ Corporate Bond Token เข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ในการลงทุน อาจช่วยเชื่อมโยงนักลงทุนจากตลาดทุนแบบดั้งเดิม ให้เข้ามาสู่สินทรัพย์ดิจิทัลได้ง่ายขึ้น แต่ยังต้องติดตามว่า นักลงทุนจะให้ความเชื่อมั่นมากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับตราสารหนี้ในระบบตลาดทุนเดิม
ท้ายที่สุด การกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นทางแยกที่ ก.ล.ต. ต้องเลือก ระหว่าง 1. แนวทางการกำกับดูแลเข้มงวด เพื่อควบคุมเสถียรภาพของตลาด นั่นคือ กำกับดูแล Blockchain, DeFi และ dApp, กำหนดให้แพลตฟอร์มต้องมี KYC , ตรวจสอบและ Audit โค้ดของ Smart Contract
2. ทางเลือกที่ให้ตลาดดำเนินไปอย่างอิสระ เพื่อดึงดูดเงินทุนและสร้างความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติ โดยให้ภาคเอกชนดูแลจัดการความปลอดภัยของแพลตฟอร์มเอง, เปิดให้ผู้ใช้จากทั่วโลกเข้าถึง Blockchain ไทยได้ง่ายขึ้น, อาจเกิดความเสี่ยงจากช่องโหว่ Smart Contract หรือการโจมตีระบบ
หากเลือกแนวทางแรก ตลาดอาจมีความปลอดภัยสูงขึ้น แต่เสี่ยงต่อการจำกัดโอกาสทางธุรกิจ ในขณะที่แนวทางที่สองอาจช่วยให้สินทรัพย์ดิจิทัลไทยเติบโตได้รวดเร็ว แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการฉ้อโกง
Stable Coin ไทยบาทอาจเป็นโอกาสครั้งใหญ่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล แต่หากกรอบนโยบายไม่เอื้ออำนวย เงินทุนและโอกาสอาจไหลออกจากไทยไปยังประเทศที่เปิดกว้างกว่า นี่คือจุดที่ภาครัฐต้องตัดสินใจให้รอบคอบที่สุด