สารัชถ์ แนะรัฐ ปรับโครงสร้างพื้นฐาน-เทคโนโลยี-ศก.ดิจิทัล กุญแจขับเคลื่อนประเทศ เชื่อลดราคาพลังงานทำได้

สารัชถ์ แนะรัฐ ปรับโครงสร้างพื้นฐานพลังงาน-เทคโนโลยี-ศก.ดิจิทัล กุญแจขับเคลื่อนประเทศ เชื่อลดราคาพลังงานทำได้

เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการจัดงานสัมมนา “Chula Thailand Presidents Summit 2025” นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) และ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อ Future Thailand: Energizing Society หรือ พลังงานแห่งอนาคต ที่จะเปลี่ยนประเทศไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ว่า ‘กาซธรรมชาติ‘ ก็เข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยความมั่นคงในสมัยก่อนนั้นเอง การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เป็นผู้เล่นหลักและก๊าซก็มาจากท่อเป็นหลัก มีทั้งจากอ่าวไทย จากประเทศพม่า และ จากประเทศมาเลเซีย และเมื่อเวลาผ่านไป ก๊าซธรรมชาติเองที่เป็นตัวสำคัญก็มีการพัฒนาไปในทางเทคโนโลยี ก็สามารถนำก๊าซธรรมชาติที่ไม่ต้องมาจากท่อได้ ก็นำมาจากการอัดเหลวลดอุณหภูมิและ สามารถนำมาแปลงเป็นแก๊สใหม่ ก็เลยทำให้ ‘ก๊าซธรรมชาติ‘ มีบทบาทสำคัญในการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยมากขึ้น

นายสารัชถ์ กล่าวว่า ประเทศไทยโชคร้ายที่ไม่มีทรัพยากรอื่นในการผลิตไฟฟ้า อย่างประเทศอื่น ที่มาเลเซียที่เขามีทรัพยากรเยอะ ส่วนเราไม่ค่อยมี พอจะเริ่มทำเขื่อนทีก็โดนต่อต้านที ในช่วงนั้นเศรษฐกิจของไทยของเอเชียเองค่อนข้างเติบโต ดังนั้น ก๊าซธรรมชาติจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในการเพิ่มความมั่นคงของระบบไฟฟ้าเมืองไทย ซึ่งตอนนั้นราคาค่อนข้างที่จะดี และพึ่งจะเริ่มมาผันผวนในช่วงสงครามยูเครน กับ รัสเซียขึ้นมา

ปัจจุบัน เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงไป เทรนด์โลกก็เริ่มมองหาพลังงานที่สะอาดและต้นทุนถูกลง หลายอย่างที่มาพร้อมๆกันทำให้มีการผสมผสานของพลังงานขึ้นมา ทาง กัล์ฟ เองก็มีการลงทุนในหลายภาคส่วนในประเทศไทยค่อนข้างมาก ช่วงที่ผ่านมาก็ได้ไปลงทุนที่ต่างประเทศค่อนข้างเยอะ และก็ลงทุนไปหลายอย่างตามที่ เรียกว่า พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส‘ ซึ่งช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา ทางกัล์ฟ ก็ได้ไปซื้อ โรงงานลม ในประเทศเยอรมัน และ มีลงทุนที่ สหรัฐอเมริกา ที่เมืองชิคาโก้ และอื่นๆ ซึ่งสาเหตุที่ กัล์ฟไปลงทุนที่ต่างประเทศค่อนข้างมากนั้น เนื่องจากเราต้องการดูพัฒนาการของเทคโนโลยีว่า มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ในอดีตประเทศไทยไม่สามารถ ผลิตพลังงานลมจากทะเลที่แรงได้ ปัจจุบันทำได้และราคาถูกลง ทีนี้ก็นำความรู้ที่ได้มาจากต่างประเทศ มาปรับใช้ในประเทศไทย ซึ่งก็ทำให้เราเห็นว่าเทรนด์ตลาดตอนนี้เป็นอย่างไร ความต้องการของการใช้ ‘พลังงานสะอาด‘ มีมากขึ้น เทคโนโลยีก็ดีขึ้น แผงไฟโซลาร์ก็ผลิตไฟฟ้าได้ดีขึ้นและถูกลงค่อนข้างเยอะ

ADVERTISMENT

นายสารัชถ์ กล่าวว่า ในส่วนของการซื้อกิจการบริษัทโทรคมนาคม รวมถึงการทำธุรกิจคริปโทเคอร์เรนซี หรือแม้แต่โทเคนดิจิทัล ซึ่งในหลายเรื่องจะต้องศึกษาเพื่อให้ก้าวทันเทรนด์อนาคต ด้วยปัจจุบันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงมากขึ้น ทำให้ธุรกิจหลายอย่างต้องปรับตัว รวมถึงกัลฟ์ก็ได้ลงทุนทำท่าเรือคอนเทนเนอร์ที่แหลมฉบังด้วย เพราะสมัยก่อนจะใช้บุคลากรควบคุมเยอะ แต่ปัจจุบันใช้หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและต้นทุนถูกลงค่อนข้างมาก

“อนาคตธุรกิจที่เกี่ยวกับ Data จะมีมากขึ้น เป็นเรื่องที่มีบทบาทเข้ามาในชีวิตเรามากขึ้น จึงมองหา Partner ที่ประสบความสำเร็จ และบังเอิญเป็นช่วงโควิดที่เกิดขึ้นราคาหุ้นในตลาดค่อนข้างจะดีเราจึงดูหลายบริษัท บางบริษัทที่ซื้อก็เจ๊งไปบ้าง ซึ่ง AIS ถื่อว่า Performance ดี ตอบโจทย์ระยะยาวจึงเข้าไปลงทุนในกลุ่มอินทัช เพราะมีผู้บริหารและผู้ถือหุ้นดี นำไปสู่ในเรื่องของโลกอนาคต” นายสารัชถ์ กล่าว

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ นายสารัชถ์ กล่าวว่า ประเทศไทยเอง ก็ต้องมีการปรับตัวหลายอย่าง ซึ่งจริงๆตอนนี้ ก็มีปัญหาหลายอย่าง เช่น การท่องเที่ยวเอง ถ้าไม่ตื่นตัวไม่มีการเปลี่ยน อย่างเช่น ตอนที่ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เคยกล่าวว่า ทำไมเราไม่มี การแข่งขัน F1 หรือ มีการจัดงานใดๆขึ้นมา ซึ่งถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับตัวประเทศไทย ก็จะค่อยๆเป็นประเทศที่ถูกลืมในเอเชีย

ขณะเดียวกัน ท่ามกลางสงครามการค้า (Trade War) ของโลก เครื่องจักรทางเศรษฐกิจของประเทศไทยหลายตัวอาจจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เช่น การท่องเที่ยว การเกษตร หรือสาธารณสุข เป็นต้น แต่ปัญหาภายในประเทศเองก็ยังต้องเร่งแก้ไข ทั้ง หนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน ต้องพึ่งรัฐบาลมาช่วยแก้ไข ถ้าเศรษฐกิจดี ทุกอย่างก็จะดีขึ้นด้วย ซึ่งถ้าเราไม่ปรับตัวอาจจะเป็นประเทศที่ถูกลืมในเอเชีย เราเคยเป็นประเทศที่หลายที่อยากแข่งกับเรา แต่วันนี้หลายประเทศก็แซงเราไปแล้ว เพราะสังคมและเศรษฐกิจมันไม่หยุดรอเรา

นอกจากนี้ นายสารัชถ์ กล่าวว่า ขณะที่ทิศทางพลังงานในประเทศไทยมองว่าจะเป็นพลังงานสีเขียวมากยิ่งขึ้น ตามกระแสของโลก ซึ่งจะทำให้ต้นทุนน่าจะถูกลงเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันกรณีที่นายทักษิณ ชินวิตร อดีตนายกรัฐมนตรี พูดถึงการปรับลดราคาพลังงาน มองว่าสามารถทำได้ และจะทำให้ต้นทุนของประชาชนถูกลง มีเงินจับจ่ายใช้สอย เป็นประโยชน์กับเศรษฐกิจมากขึ้น

ขณะเดียวกันในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) เป็นเรื่องที่หลีกหนีไม่ได้ ไทยยังจำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าถ่านหินจากเหมืองแม่เมาะที่มีต้นทุนต่ำมาก แต่เป็นส่วนที่เข้ามารักษาสมดุลระหว่างพลังงานฟอสซิลกับพลังงานสีเขียวได้ แม้ว่าจะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ค่อนข้างมาก แต่มีความจำเป็นเพื่อที่จะกดราคาค่าไฟลงไป

นอกจากนี้สงครามระหว่างรัสเซีย- ยูเครน รุนแรงน้อยลง ทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติ LNG ที่นำเข้ามามีเสถียรภาพมากขึ้น และเชื่อว่ามีแนวโน้มลดลง ประกอบกับนโยบายด้านพลังงานของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่หนุนให้มีการผลิตก๊าซธรรมชาติในประเทศมากขึ้น หนุนให้มีซัพพลายเข้าตลาดมากขึ้นด้วย เป็นเทรนด์ที่ดีที่จะทำให้ค่าไฟ ค่าเชื้อเพลงลดลง

อย่างไรก็ตาม นายสารัชภ์ กล่าวว่า จริงๆแล้ว ประเทศไทยยังมีศักยภาพสูงในด้าน การท่องเที่ยว ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ แต่รัฐบาลต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น จุดหมายปลายทางระดับโลก รวมถึงต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบคมนาคม และมาตรการรักษาความปลอดภัย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ขณะที่ภาคการเกษตร ซึ่งเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย ยังมีโอกาสในการเติบโต หากมีการนำเทคโนโลยี เช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AI, Internet of Things (IoT) หรือ การที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ สามารถเชื่อมโยงหรือส่งข้อมูลถึงกันได้ด้วยอินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องป้อนข้อมูล และหุ่นยนต์การเกษตร มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ไทยสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารให้มีมาตรฐานสูงขึ้น และส่งออกไปยังตลาดโลกได้มากขึ้น

นายสารัชภ์ กล่าวว่า แม้ว่าไทยจะมีจุดแข็งหลายด้าน แต่ก็ยังมี ปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะ หนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมานาน  รัฐบาลต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ดี ทุกอย่างก็จะดีขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ สิ่งที่อยากจะฝากถึงรัฐบาลก็คือ อย่างที่กล่าวไปว่า บางนโยบายก็มีทั้งคนที่เห็นด้วยและคนคัดค้าน ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำคือ การสานต่อนโยบายอย่างไรก็ตามหรือปรับแผนงานอย่างไรก็ได้ให้เกิดผลต่อประเทศและคำนึงถึงประชาชนให้มากที่สุด ถึงแม้ว่าปัญหาในประเทศจะเยอะมากแต่ตนก็เชื่อว่าทุกปัญหาย่อมมีโอกาสและทางออกของมันเสมอ อย่าไปเครียดกับทุกอย่าง มีปัญหาก็แก้กันไป เชื่อ ว่า ปัญหาคงแก้ได้ ถ้าแก้ได้ สังคมก็คงดีขึ้น

นายสารัชภ์ กล่าวว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เทคโนโลยี และเศรษฐกิจดิจิทัล เป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้า หากภาครัฐและเอกชนสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประเทศไทยจะสามารถแข่งขันในเวทีโลก และก้าวสู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image