กกร. ชี้เศรษฐกิจไทย’68 โตจำกัด แนะ 6 แนวทาง บรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้ารอบใหม่
เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์สงครามการค้ารอบใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้วที่ประเทศเม็กซิโก ประเทศแคนาดา และสาธารณรัฐประชาชนจีน ท่ามกลางการตอบโต้ โดยสหรัฐอเมริกาจะประกาศขึ้นอัตราภาษีนำเข้าต่อกลุ่มประเทศเป้าหมาย ทั้งต่อเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% และ จีน ในอัตรา 10% ซึ่งจะส่งผลลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2568 และจะยิ่งส่งผลกระทบมากขึ้นในปี 2559 นอกจากนี้ ยังผลักดันนโยบายเร่งด่วนผ่านการใช้คำสั่งของฝ่ายบริหาร (Executive Order) รวมถึงนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ ครอบคลุมทั้งประเด็นการค้าที่ไม่เป็นธรรม การจัดการคนเข้าเมือง และการถอนตัวจากข้อตกลงปารีส เป็นต้น ทั้งนี้ สหรัฐจะขึ้นภาษีนำเข้าทุกหมวดยกเว้นหมวดพลังงาน เนื่องจากสหรัฐยังคงเป็นประเทศที่ใช้สินค้าหมวดพลังงานเยอะ โดยเฉพาะน้ำมัน
ความขัดแย้งทางการค้ากดดันสินค้าจากต่างชาติเข้ามาแย่งตลาดและกระทบต่อภาคการผลิตของไทย สินค้าต่างประเทศที่ล้นตลาดจากปัญหาสงครามการค้าและการแยกขั้ว (De-coupling) ทะลักเข้ามาในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตและการจ้างงาน จากการศึกษาผลกระทบดังกล่าวตามข้อเสนอในสมุดปกขาวของ กกร. โดยกระทรวงพาณิชย์พบว่ากลุ่มสินค้าสำคัญที่ได้รับผลกระทบมาก เช่น เหล็ก พลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องนุ่งห่ม แก้วและกระจก เครื่องสำอาง เป็นต้น ดังนั้น สิ่งสำคัญถ้าหากจากลดผลกระทบได้ก็ต้องมีการวางแผนให้ดี
นายเกรียงไกรเผยว่า สถานการณ์สงครามการค้าจะส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าไทยในระยะสั้น เพราะจะช่วยให้สามารถไปแข่งขันกับสินค้าที่ผลิตในแคนาดาและเม็กซิโกที่มีราคาสูงขึ้น จากการที่สหรัฐปรับขึ้นภาษีนำเข้า
นายเกรียงไกรเผยด้วยว่า ที่ประชุม กกร.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวจำกัด เนื่องจากการกีดกันทางการค้าที่รุนแรงและทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง จะเป็นความท้าทายต่อการส่งออกของไทย ส่วนภาคอุตสาหกรรมบางสาขาเผชิญการแข่งขันจากสินค้าจากต่างประเทศ ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังอ่อนแอ ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวางแนวทางเพื่อลดผลกระทบทั้งในระยะสั้น และระยาว โดยใช้ประโยชน์จากการแยกขั้วของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องวางแผนให้ดี และการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศก็ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทยเป็นหลัก และเร่งทำข้อตกลงทางการค้าเพิ่มเติมจาก เขตการค้าเสรี FTA ไทย-สมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
“ขอเป็นกำลังใจให้รัฐบาลให้รีบเร่งในการเจรจาเขตการค้าเสรี FTA-สมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) ที่เหลืออยู่ เช่น EU (อียู) เพื่อที่เราจะขยายการค้าออกไปในหลายๆจุด ไม่ใช่แค่ในกรอบประเทศเดิมๆ ฉะนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก” นายเกรียงไกรกล่าว
นายเกรียงไกรกล่าวว่า กกร.ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ไว้เท่ากับการประชุมเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) จะเติบโตได้ราว 2.4-2.9% มูลค่าการส่งออก ขยายตัว 1.5-2.5% และอัตราเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้น 0.8-1.2%

นายเกรียงไกรกล่าวด้วยว่า ภายหลังจากสหรัฐได้ประกาศขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีน สัญญาณตอบโต้ด้วยมาตรการทางภาษี และมาตรการทางการค้าจากประเทศดังกล่าวต่อสหรัฐ ขณะเดียวกัน สินค้าจีนที่ไม่สามารถส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ อาจไหลทะลักกลับมาที่ประเทศไทย และประเทศคู่ค้าของไทย ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น ดังนั้น กกร. จึงเสนอแนวทางเตรียมความพร้อมรับมือ ทั้งผลกระทบทางตรง และทางอ้อม ดังนี้
1.การเจรจาระดับรัฐ เพื่อป้องกันและบรรเทาการใช้มาตรการทางการค้าจากสหรัฐฯ รวมทั้งสร้างความร่วมมือกับประเทศในอาเซียน เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจร่วมกัน
2.การสนับสนุนด้านกฎหมาย กฎระเบียบการค้า เพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบ
3.การบูรณาการเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมในประเทศ และปฏิรูปกฎหมาย เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน
4.การใช้มาตรการทางการค้าเพิ่มเติม นอกเหนือจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด และใช้มาตรการควบคุมการนำเข้า ตาม พ.ร.บ.การส่งออกไปนอก และนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งสินค้า พ.ศ.2522
5.ควบคุมการตั้งหรือขยายโรงงาน รวมทั้งการให้การส่งเสริมในอุตสาหกรรมที่มีกำลังการผลิตเกินความต้องการ และการกำกับดูแลภาคอุตสาหกรรมในเขต Free zone อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการลักลอบนำสินค้าและวัตถุดิบกลับมาขายในประเทศ
6.ส่งเสริมสินค้าที่ผลิตในประเทศ หรือ สินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand (สินค้าที่ผลิตในประเทศไทย) ทั้งการเพิ่มสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การกำหนดเงื่อนไขการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศในโครงการรัฐ
ทั้งนี้ ภาครัฐควรเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการให้ความเห็นและข้อเสนอแนะในการเตรียมความพร้อมรับมือกับผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมเพิ่มว่า สำหรับนโยบาย ทรัมป์ 2.0 ทางกกร. ได้ส่งหนังสือถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา เพื่ออนุมัติให้ทาง กกร.ได้ส่งตัวแทนไปร่วมทีมไทยแลนด์ (TEAM THAILAND+) ที่เป็นคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งการเตรียมข้อมูลอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะมีรายละเอียดเรื่องของสินค้า
ประเภทต่างๆด้วย ดังนั้น การร่วมมือกับทางภาคเอกชนนั้นสำคัญมาก และ ภาคเอกชนจะสามารถช่วยและเป็นกำลังสำคัญ หรือมีกลไกใดๆ ที่สามารถทำให้เข้าถึง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้บ้าง ซึ่งก็หวังว่าหนังสือที่ทาง กกร. ได้ส่งไปนั้น จะได้รับคำตอบจากทางภาครัฐเร็วๆ นี้

นายเกรียงไกรกล่าวว่า ที่ประชุมมีแนวทางดำเนินการเชิงรุกในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) โดยมีมาตรการสำคัญ ดังนี้ 1.สนับสนุนการให้เงินอุดหนุนในช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อเร่งนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาลดปัญหาฝุ่นละอองและการเผาในภาคเกษตรกรรม 2.ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าไม้ ให้เกิดการบริหารจัดการที่ยั่งยืน ลดปัญหาไฟป่า และกระตุ้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า 3.ผลักดันกลไกภาคเอกชนให้มีส่วนร่วมในคณะกรรมการต่างๆ ภายใต้ พ.ร.บ. อากาศสะอาด และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 4.สนับสนุนการใช้แผนที่ One Map และเตรียมความพร้อมปฏิบัติตามมาตรการ EUDP ภายใต้กฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า (EU Deforestation Regulation : EUDR) เพื่อบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรมและป่าไม้ 5.ใช้กลไกความร่วมมืออาเซียน เพื่อประสานการป้องกันและควบคุมปัญหาฝุ่นละออง 2.5 (PM2.5) และไฟป่าในระดับภูมิภาค
นอกจากนี้ นายเกรียงไกรกล่าวอีกว่า ที่ประชุม กกร.ยังสนับสนุนแนวทางการยกระดับการจัดการบัญชีม้าของสมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก ทั้งนี้เพื่อความสำเร็จจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาภัยทางการเงิน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งภาครัฐและเอกชน ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคม (Telco) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และผู้ให้บริการ E-Wallet (กระเป๋าสตางค์ดิจิทัล) รวมถึงภาคประชาชนที่ต้องตื่นตัวและรู้เท่าทันภัยทางการเงิน เพื่อให้แก้ไขและป้องกันภัยทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน