โกลเบล็ก มองหุ้นไทยผันผวนขาลง ให้กรอบดัชนีต่ำสุด ร่วงสู่ 1,250 จุด

โกลเบล็ก มองหุ้นไทยผันผวนขาลง ให้กรอบดัชนีต่ำสุด ร่วงสู่ 1,250 จุด

เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ประเมินว่าดัชนียังคงแกว่งตัวในผันผวนไซด์เวย์ลดลง โดยมีแรงกดดันจากประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยืนยันเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากับสหภาพยุโรป (อียู) อย่างแน่นอน ตอกย้ำความไม่พอใจเกี่ยวกับการขาดดุลการค้าของสหรัฐและอียู รวมถึงมองว่าอียูนำเข้ารถยนต์และสินค้าเกษตรจากสหรัฐน้อยเกินไป พร้อมทั้งเตือนไปยังประเทศสมาชิกกลุ่มบริกส์ว่าอย่าคิดเปลี่ยนไปใช้สกุลเงินอื่นแทนดอลลาร์สหรัฐ หากไม่อยากถูกเก็บภาษีนำเข้า 100% และอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการควบคุมเพิ่มเติมในการขายชิปของเอ็นวิเดีย (Nvidia) ให้กับจีน โดยระบุว่าการหารือยังอยู่ในขั้นต้น ซึ่งสร้างความกังวลในภาคการลงทุนที่มีความไม่แน่นอนรออยู่สูงมาก โดยคาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 1,250-1,320 จุด

น.ส.วิลาสินีกล่าวว่า จากการประกาศสงครามการค้าสหรัฐทำให้ทางประเทศต่างๆ มีท่าทีว่าจะออกมาตรการเพื่อตอบโต้ อาทิ นายกรัฐมนตรี จัสติน ทรูโด ของแคนาดา ประกาศว่าจะตอบโต้สหรัฐด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐในอัตรา 25% ครอบคลุมตั้งแต่เครื่องดื่มจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่เม็กซิโกประกาศว่าจะตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐเช่นกัน ส่วนรัฐบาลจีนประกาศว่าจะยื่นคำร้องต่อองค์การการค้าโลก (ดับเบิ้ลยูทีโอ) เพื่อคัดค้านมาตรการดังกล่าวของสหรัฐ ซึ่งต้องจับตาใกล้ชิดว่าจะมีการลดหย่อนผ่อนปรนหรือไม่

“ประกอบกับนักลงทุนยังติดตามการประกาศงบของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แม้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จะมีการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ขยายตัวได้ถึง 3.5% จากกรอบ 2.5-3.5% และมีค่ากลางเฉลี่ย 3% ได้รับปัจจัยบวกจากการบริโภคภาคเอกชน, การส่งออก, การท่องเที่ยว และการลงทุนภาครัฐและเอกชน ส่วนเศรษฐกิจไทยปี 2567 โต 2.5% ขณะที่ภาระหนี้สินของเอสเอ็มอี ไตรมาส 4/2567 มีสัดส่วนทรงตัวที่ 65% ชี้ให้เห็นถึงปัญหากำลังซื้อต่ำและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน และการแข่งขันสูงกระทบผู้ประกอบการ” น.ส.วิลาสินีกล่าว

น.ส.วิลาสินีกล่าวอีกว่า สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุนที่จับตาในประเทศ อาทิ สัปดาห์ที่ 2 หอการค้าไทย ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค, สภาธุรกิจตลาดทุนไทย แถลงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนและอัพเดตสถานการณ์ลงทุน, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แถลงสรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินไทย ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศที่น่าจับตา ได้แก่ สหรัฐรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน การรายงานตัวเลขเงินเฟ้อทั้ง 3 รายการได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ดัชนีราคาผู้ผลิต (พีพีไอ) และดัชนีการใช้จ่ายส่วนบุคคล (พีซีอี) ซึ่งล้วนมีผลกับการตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐด้วย

ADVERTISMENT