เกษตรฯ ก้าวข้ามเผา พร้อมลุยจัดการเศษวัสดุ ลดฝุ่น PM2.5  และก๊าซเรือนกระจก 

เกษตรฯ ก้าวข้ามเผา พร้อมลุยจัดการเศษวัสดุ ลดฝุ่น PM2.5  และก๊าซเรือนกระจก 

เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ระบุว่างานศึกษาวิจัยในอิตาลี พบว่า ฝุ่นละออง 2.5 หรือ PM 2.5 มีองค์ประกอบที่มาจากการเผาสารชีวมวล หรือเศษวัสดุทางการเกษตรเพียง 23% เท่านั้น ที่เหลือเป็นไฮโดรคาร์บอน ฟอสซิล การเผาไหม้ของยานยนต์ 11% เหลือ 66% เป็นละอองฝุ่นขนาดเล็กหรือละอองลอยในอากาศที่เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีหรือการเปลี่ยนรูปในบรรยากาศของก๊าซสารตั้งต้นบางประเภทเช่น ก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ ก๊าซซัลเฟอร์ออกไซด์ ก๊าซแอมโมเนีย และกลุ่มก๊าซสารอินทรีย์ระเหยง่ายอีกจำนวนมาก ทำให้เกิดเป็นสารมลพิษในอากาศ

ดังนั้น นายพีรพันธ์ กล่าวว่า การเผาวัสดุการเกษตร ของเกษตรกร จึงไม่ใช่ปัญหาทั้งหมดของฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 (PM2.5) กรมส่งเสริมการเกษตร ได้กำหนดแผนการดำเนินงานไว้ 4 ส่วน ดังนี้

1. การจัดทำฐานข้อมูลเพื่อวางแผน การบริหารจัดการพื้นที่ที่เสี่ยงการเผา โดยรวบรวมข้อมูลพื้นที่การเพาะปลูกและช่วงเวลาเก็บเกี่ยวพืชที่เสี่ยงต่อการเผา คือ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อ้อย และข้อมูลเกษตรกรในแต่ละจังหวัด แล้วใช้เทคโนโลยีโดยใช้ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมประกอบกับพื้นที่เผาไหม้ (Burn Scar) จุดความร้อน (Hotspot) เพื่อติดตามและประเมินความเสี่ยงในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเผาไหม้ พร้อมประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่น และดำเนินการตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 เรื่อง มาตรการบริหารจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ภาคการเกษตร

ADVERTISMENT

2. การป้องปราม โดยกรมส่งเสริมการเกษตรได้สื่อสารให้ความรู้ ความตระหนัก ถึงผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมแก่เกษตรกรได้รับทราบรวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เมื่อเกษตรกรเข้าใจแล้ว ปริมาณการเผาก็จะลดลง นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการเกษตรจะร่วมกับ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ค้นหาพื้นที่เผาไหม้(Burn Scar) แล้วจะมาทาบกับแผนที่ความเสี่ยงที่ทำไว้ก่อนหน้านี้จะทำให้ทราบพื้นที่เผาระบุเกษตรกรผู้ดำเนินการได้

ADVERTISMENT

3. การดำเนินการตามกฎหมาย เมื่อพิสูจน์ทราบแล้วว่ามีการเผาจริงที่เกิดจากการกระทำของเกษตรกรจะบันทึกประวัติการเผาในพื้นที่เกษตรและเกษตรกรรายนั้น จะไม่ได้รับสิทธิในการเข้าร่วมโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนหรือส่งเสริมการพัฒนาด้านการเกษตร และช่วยเหลือเกษตรกรทุกโครงการ ยกเว้นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตร ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 – 31 พฤษภาคม 2570

4. ให้ความรู้แนะนำการจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ช่องทางและการสนับสนุนการเพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือใช้ โดยได้ร่วมกับภาคเอกชนใช้เครื่องจักรในการอัดก้อนฟาง รวมถึงร่วมกับบริษัทต่างๆ เพื่อย่อยสลายตอซัง เป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับเกษตรกร รวมถึงการใช้ปุ๋ยเคมีที่เหมาะสมกับความต้องการในแต่ละช่วงเวลาการเจริญเติบโต เพื่อลดการเกิดไนโตรเจนออกไซด์ ละอองลอยทุติยภูมิ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ทั้งนี้ นายพีรพันธ์ กล่าวว่า สำหรับระยะต่อไป ได้เตรียมการศึกษาวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการ เพื่อเชื่อมต่อห่วงโซ่อุปทานวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรจากเกษตรกรสู่ผู้ประกอบการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ผลิตภัณฑ์ชีวมวล ตลอดจนโครงการสนับสนุนต้นทุนกิจกรรมเกษตรที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสิ่งแวดล้อม อันเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับ พ.ร.บ.อากาศสะอาด ในปี 2568 ต่อไป

“การไม่เผาเป็นเรื่องที่เกษตรกรต้องก้าวข้ามผ่านเพราะมีทางออกที่ชัดว่ามีทางเลือกที่ดีกว่า ซึ่งเมื่อผนวกรวมกับต้นทุนสุขภาพ จะมีต้นทุนที่สูงมาก ทุกภาคส่วนต้องหารือเพื่อหาทางออก ร่วมกันโดยกรมส่งเสริมการเกษตรพร้อม ร่วมกับทุกภาคส่วน รวมถึงชุมชนเพื่อวิเคราะห์ หาทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อจัดการปัญหาฝุ่น” นายพีรพันธ์ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image