สศช. ย้ำรบ.พร้อมเจรจาสหรัฐ รับมือนโยบายการค้าป่วน เปิด 5 มาตรการขับเคลื่อนศก. หวังโตถึง 3%

สศช. ย้ำรบ.พร้อมเจรจาสหรัฐ รับมือนโยบายการค้าป่วน เปิด 5 มาตรการขับเคลื่อนศก. หวังโตถึง 3%

เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่ ห้อง Ballroom 1 ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ หนังสือพิมพ์มติชน และมติชนออนไลน์ จัดสัมมนา “Matichon Leadership Forum 2025 Trust Thailand : เชื่อมั่นประเทศไทย”

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ บรรยายพิเศษ หัวข้อ “เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย” ตอนหนึ่งว่า สำหรับเสถียรภาพของเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ ยังมีความมั่นคงเพียงพอ ที่จะต้านทานภาวะความผันผวนในโลกใบนี้ โดยเฉพาะ การขึ้นมาของ นายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ คนล่าสุด เพราะฉะนั้น ในช่วงถัดไป ไทยยังมีภูมิคุ้มกันเพียงพออยู่ อย่างไรก็ดี เราก็คงจะอยู่เฉยไม่ได้ ต้องเตรียมการในการพูดคุยเจรจาด้วย

ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวค่ากลางที่ 2.8% ต่อปี (2.3%-3.3%) เหตุที่ยังไม่ถึง 3% เนื่องจากได้รวมความเสี่ยงไว้ ในกรณีครึ่งปีหลังมีความผันผวนมาก การใช้มาตรการทางการต้าเติบโตกันรุนแรง ซึ่งต้องมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง แม้จะเห็นว่ารัฐบาลยังเงียบในเรื่องนี้ ขอยืนยันว่าภาครัฐเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้ตลอด สภาพัฒน์เองก็ได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และนำเสนอ นายกรัฐมนตรี รวมไปถึงรัฐบาลก็ได้หารือกับภาคเอกชนด้วย แต่เรื่องการเจรจาจะให้พูดในเชิงสาธารณไม่ได้ เพราะต้องเก็บไว้เป็นอาวุธลับ ไม่เช่นนั้นเขาก็จะรู้หมดว่าเราจะทำอะไร การเจรจาอาจจะไม่ได้เป้าเท่าที่ต้องการ

ADVERTISMENT

ส่วนปัจจัยสนับสนุนที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้ ได้แก่ 1.การเพิ่มขึ้นขอบแรงสนับสนุนจากรายจ่ายภาครัฐโดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน 2.การขยายตัวของอุปสงค์ภาคเอกชนในประเทศ 3.การฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่อเที่ยว และ 4.การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการส่งออกสินค้า

ADVERTISMENT

เตือนเตรียมรับมือปัจจัยเสี่ยง

นายดนุชากล่าวว่า ขณะที่ ปัจจัยเสี่ยงนั้น เป็นสิ่งที่สภาพัฒน์อยากให้ความสำคัญมากกว่า อยากจะให้ทุกท่าน โดยเฉพาะภาคธุรกิจได้เตรียมตัว ประเด็นสำคัญที่สุดในขณะนี้คือ ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐ ขณะนี้รัฐบาล ไม่ว่ากระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงที่เกี่ยวข้องการได้เตรียมการเจราไว้แล้ว จะเห็นว่ามาตรการที่สหรัฐออกมานั้น เป็นการกดดันให้เกิดการเจรจา

สำหรับประเทศไทยเองก็เป็นเป้าหมายเช่นกัน เพราะปีที่แล้วไทยกินดุลสหรัฐที่ 4.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เป็นอันดับ 10-11 ของประเทศที่มีการเกินดุลสูง ฉะนั้น ไทยการเป็นเป้าหมายหนึ่งที่สหรัฐ จะออกมาตรการออกมาเพื่อให้เราไปเจรจา ซึ่งรัฐบาลก็ได้เตรียมการไว้ ขอให้เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะเจรจาให้ได้ดีที่สุด เพื่อที่จะลดผลกระทบ เพื่อให้การส่งออก และเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อไปได้

“ในช่วงที่ผ่าน นายโดนัล ทรัมป์ ก็ออกอภินิหารมากเยอะ ทางจีนก็มีมาตรการตอบโต้ด้วย แต่ถ้ามีการพูดคุยกันแล้วจำกัดผลกระทบให้ไม่มันไม่ขยายตัวมากกว่า เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยก็ขยายตัวได้มากกว่าที่ประมาณการไปถึง 3% ได้แน่นอน” นายดนุชา กล่าว

นายดนุชากล่าวว่า อีกส่วนคือ ภาระหนี้สินครัวเรือนระดับสูง ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ได้ขยายมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” ไปถึงลูกหนี้นอนแบงก์ด้วย และเชื่อว่าจะมีการเสริมมาตรการเพิ่มเติมไปอีก เพื่อให้การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และหนี้ธุรกิจ โดยเฉพาะ เอสเอ็มอี สามารถแก้ได้รวดเร็ว และบรรลุผลได้มากขึ้น ขณะเดียวกัน ภาคการเกษตรก็ยังมีความเสี่ยงเล็กน้อย ในเรื่องผลผลิตของประเทศคู่แข่งที่ปรับตัวดีขึ้น กดดันราคาสินค้าเกษตร ซึ่งรัฐบาลก็คงมีมาตรกาออกมารองรับ

 

 

เตรียมเข็น 5 มาตรการขับเคลื่อนศก.

นายดนุชากล่าวว่า ส่วนแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะถัดไปนั้น รัฐบาลได้เตรียมมาตรการไว้ 5 เรื่อง ได้แก่ 1.การเตรียมการรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของประเทศคู่ค้าสำคัญ คงทราบกันว่าถ้าเกิดสงครามการค้า สินค้าที่เป็นอุปทานส่วนเกินการต้องหาทางออก ก็อาจจะมาแถวๆบ้านเรา ฉะนั้นต้องมีการเข้มในมาตรการตรวจคุณภาพสินค้า กำหนดมาตรฐานที่ช่วยป้องกันกระทบสินค้าเอสเอ็มอีไทย

2.การเร่งรัดส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนให้กลับมาขยายตัว โดยเฉพาะที่ได้รับบัตรส่งเสริมไปแล้ว ซึ่งช่วยให้การลงทุนภาคเอกชนดีขึ้น โดยคาดว่าปี 2568 จะมีเม็ดเงินมากกว่าปีที่แล้ว 1 แสนล้านบาท 3.การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้เม็ดเงินรายจ่ายภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเม็ดเงินที่ลงทุนโครงสร้างพื้ฐาน 4.การสร้างการตระหนักรู้ถึงมาตรการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ซึ่ง”คุณสู้ เราช่วย” จะเป็ฯมาตรการหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาได้ดี ด้วยการตัดต้นเงินไวขึ้น และ 5.การขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวให้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง เพราะท่องเที่ยวเป็นเครื่องสำคัญมากๆ โดยดดูทั้งในแง่จำนวนเที่ยวบินที่เข้าไทย ถ้าขยายจุดบินได้ก็ทำให้มีปริมาณจำนวนนักท่อเที่ยวจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจเดินหน้าได้ดีขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image