เตรียมจับสลาก ‘บ้านเพื่อคนไทย’ เฟสแรก เมษานี้ พร้อมก่อสร้างทันทีภายในปี 2568
นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการบ้านเพื่อคนไทย ว่า จากการรายงานของ ระบุว่า ขณะนี้ มีจำนวนประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 350,000 ราย และ และสามารถผ่านการกลั่นกรองคุณสมบัติเบื้องต้น (Pre-Approve) เป็นผู้สามารถกู้เงินของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ตามเงื่อนไขแล้ว จำนวน 140,000 ราย
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ขั้นตอนต่อไป เบื้องต้นมีเป้าหมายเตรียมปิดรับลงทะเบียนโครงการ ’บ้านเพื่อคนไทย’ ระยะที่ 1 อย่างเป็นทางการ ช่วงกลางเดือน มีนาคม นี้ และทางกระทรวงฯ จะนำผลสรุปของยอดจำนวนประชาชนที่ลงทะเบียนทั้งหมดเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในช่วงกลางเดือน มีนาคม เช่นกันเพื่อรับทราบในแผนพัฒนาโครงการระยะที่ 1 รวมไปถึงแผนขยายโครงการในระยะต่อไป
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า สำหรับขั้นตอนการจับสลากเนื่องจากปริมาณของประชาชนที่ลงทะเบียนมีจำนวนมากกว่าที่อยู่อาศัย ทำให้ขณะนี้อยู่ระหว่างกำหนดหลักเกณฑ์ในการจับสลากมอบสิทธิ์ โดยการจับสลากจะดำเนินการผ่านกองสำนักสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญและความโปร่งใส โดย มีแผนกำหนดการเริ่มจับสลาก ในเดือนเมษายน 2568
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า หลังจากโครงการผ่านการพิจารณาจากทาง ครม. แล้ว ทางบริษัทเอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) จะดำเนินการจ้างที่ปรึกษาเพื่อจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) และจัดทำร่างประกาศประกวดราคาเพื่อหาผู้รับจ้างก่อสร้างโครงการบ้านเพื่อคนไทย ระยะที่ 1 รวมทั้ง 4 พื้นที่ ประกอบด้วย พื้นที่บางซื่อ กม.11 พื้นที่ธนบุรี พื้นที่สถานีเชียงใหม่ และพื้นที่เชียงราก จังหวัดปทุมธานี คาดว่าจะก่อสร้างทันทีภายในปี 2568 นี้ และคาดว่าจะทยอยส่งมอบที่อยู่อาศัยได้ภายในปลายปี 2569
อย่างไรก็ตาม นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ปัจจุบันพบว่าปริมาณความต้องการของประชาชนที่แสดงเจตจำนงให้ความสนใจมีจำนวนมาก ถึง 30,000 – 40,000 ราย โดยเฉพาะพื้นที่เชียงใหม่ ทำให้มีแผนปรับพื้นที่บางส่วนเพิ่มรูปแบบคอนโดมิเนียมเข้าไปด้วย จากเดิมที่มีเพียงแต่รูปแบบบ้านเดี่ยวเท่านั้น ขณะที่พื้นที่บางซื่อ กม.11 พบว่าในปัจจุบันมีผู้ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้นเป็นผู้สามารถกู้เงินจาก ธอส. ตามเงื่อนไข จำนวน 100,000 ราย สำหรับโครงการบ้านเพื่อคนไทย จะเป็นการก่อสร้างคอนโดมิเนียม จำนวน 20 ชั้น และสามารถรองรับได้สูงสุดไม่เกิน 42 ชั้นตามกฎหมายการผังเมือง ซึ่งจะต้องจัดทำรายงานอีไอเอ ตามแผนในระยะที่ 1 สามารถรองรับได้เพียง 5,700 ยูนิต ส่วนระยะที่ 2 สามารถรองรับได้ 7,100 ยูนิต โดยตั้งเป้าดำเนินการก่อสร้างโครงการนี้ จำนวน 100,000 ยูนิต
นอกจากนี้ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ในระยะถัดไปพบว่ามีพื้นที่ของ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่มีศักยภาพสามารถดำเนินการโครงการบ้านเพื่อคนไทยหลายแห่ง เช่น จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดขอนแก่น จังหวัดชลบุรี จังหวัดกาญจนบุรี และพื้นที่บางซื่อกม.11 คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเป็นรูปธรรมได้ภายในปี 2568 นี้ ซึ่งในทุกๆเดือนจะมีการประกาศเปิดให้ลงทะเบียนแสดงเจตจำนงผ่านระบบออนไลน์ของเว็บไซต์บ้านเพื่อคนไทยและผ่านระบบออฟไลน์ที่ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ
ทั้งนี้ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า การนำที่ดินของ รฟท.มาพัฒนาโครงการบ้านเพื่อคนไทยนั้น ตนยืนยันว่าจะ โครงการนี้ผู้ที่ได้ประโยชน์คือประชาชน เนื่องจากเงื่อนไขมีการระบุชัดเจนว่าห้ามซื้อ-ขาย หรือปล่อยเช่าต่อให้กับผู้อื่น ซึ่งไม่ใช่บริษัทเอกชนเป็นผู้ได้ประโยชน์ อีกทั้งที่ดินที่ดำเนินการนั้นใช้พื้นที่ของรฟท.เพียง 4% เท่านั้นเมื่อเทียบกับที่ดินของรฟท.ทั้งหมด 38,000 ไร่
“นอกจากนี้ โครงการบ้านเพื่อคนไทย ยังก่อให้เกิดประโยชน์สร้างรายได้ให้กับ รฟท.มากกว่าการจัดสรรที่ดินเพื่อเปิดประมูลในโครงการเชิงพาณิชย์ลักษณะอื่น เพราะการพัฒนาบ้านเพื่อคนไทย รฟท.จะได้รับค่าเช่าที่ดินทันที รวมทั้งยังเกิดประโยชน์ในการพัฒนาพื้นที่ และใช้พื้นที่น้อยแต่คุ้มค่ามีศักยภาพสูง โดยเชื่อว่าโครงการนี้จะเป็นการฉีดยากระตุ้นในการช่วยล้างหนี้แสนล้านให้ รฟท. ได้เร็วขึ้น” นายสุรพงษ์ กล่าว