วัดพลังซอฟต์พาวเวอร์ไทย สู้ของถูก ด้วยคุณค่า แตกต่างอย่างสร้างสรรค์

พาวเวอร์ไทย

สวัสดีท่านผู้อ่านคอลัมน์คิดเห็นแชร์ทุกท่านครับ ปี พ.ศ.2568 นับเป็นปีแห่งความท้าทายของเศรษฐกิจไทยและ SMEs ในหลากหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังซื้อภายในประเทศจากการบริโภคภาคเอกชนที่เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตอย่างจำกัด

จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่าหนี้ครัวเรือนไทยยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 89% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงอย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์ดังกล่าวยังมีปัจจัยเพิ่มเติมด้วยการไหลบ่าของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาแข่งขันกับ SME ไทยผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ และการทุ่มตลาดของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จากต่างชาติ คุณภาพและความทนทานลดลง ทำให้เกิดปัญหา “ซื้อเร็ว ทิ้งเร็ว” สร้างภาระในการจัดการขยะให้กับภาครัฐและท้องถิ่นในระยะยาว

นอกจากนี้ จากการวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและการเงินไทยปี 2568 พบว่า “เศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดเติบโตช้าลงกว่าปี 2567 เล็กน้อย” ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอตัว

ADVERTISMENT

ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าจะดูเป็นวิกฤต แต่กลับเป็นโอกาสสำคัญในการเพิ่มศักยภาพของไทยด้วยการใช้ความคิดสร้างสรรค์ สร้างซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ยกระดับคุณภาพ มาตรฐานและภาพลักษณ์ที่ดีของสินค้าไทยในตลาดสากลได้

“ซอฟต์พาวเวอร์” หรือ “อำนาจละมุน” แนวคิดทรงพลังของ ศาสตราจารย์โจเซฟ ไนย์ (Joseph Nye) กำลังถูกนำมาใช้เป็นอาวุธลับทางเศรษฐกิจของไทยในยุคที่สินค้าราคาถูกจากต่างชาติถาโถม ซึ่งการแข่งขันด้วยราคาคงไม่ใช่ทางออก แต่การสร้าง “คุณค่า” และ “ความแตกต่าง” คือกุญแจสำคัญ

สินค้าไทยจึงต้องสร้างตัวตนให้โดดเด่นด้วยคุณภาพที่เชื่อถือได้ พร้อมกับเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้และประสบการณ์ที่น่าประทับใจ

ลองนึกภาพผ้าไหมไทยที่ทอด้วยมืออย่างประณีต แต่ละผืนมีเรื่องราวของชุมชนและภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมา หรืออาหารไทยรสเลิศที่ใช้วัตถุดิบสดใหม่จากท้องถิ่นปรุงด้วยสูตรลับเฉพาะที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น สิ่งเหล่านี้คือตัวอย่างของ “คุณค่า” ที่สินค้าไทยมี และเป็นสิ่งที่สินค้าจากโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ไม่สามารถเลียนแบบได้

นอกจากนี้ การสร้าง “ความแตกต่าง” ยังเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การออกแบบสินค้าที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมไทย การใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือการให้บริการที่อบอุ่นและเป็นกันเอง สิ่งเหล่านี้จะสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับลูกค้า และทำให้สินค้าไทยโดดเด่นในตลาดโลก

การผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ให้เป็นรูปธรรมไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อมดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในการเติมทักษะพัฒนากำลังคน การสร้างสรรค์เติมคุณค่าให้ผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการผลักดันให้สินค้าได้รับมาตรฐานสร้างความน่าเชื่อถือพร้อมส่งออก ผ่านโครงการหรือกิจกรรมของดีพร้อมที่พัฒนาและส่งเสริมวิสาหกิจไทยในทุกปี

ยิ่งตอกย้ำความสำคัญของซอฟต์พาวเวอร์ไทย เมื่อรัฐบาลประกาศให้เป็น “นโยบายเรือธง” ของรัฐบาล ซึ่งจะเป็นการติดปีกให้ซอฟต์พาวเวอร์ไทยทะยานสู่เวทีโลกได้อย่างเต็มกำลัง

แม้ศาสตราจารย์โจเซฟ ไนย์ จะวางรากฐานแนวคิดซอฟต์พาวเวอร์ แต่การสร้างสรรค์กลยุทธ์ให้เป็นรูปธรรมนั้นมีความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง โดยจากประสบการณ์ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม สรุปกลไกสำคัญ 3 ประการสู่ซอฟต์พาวเวอร์ที่ยั่งยืน ไว้ดังนี้

1.สร้างสรรค์เสน่ห์: หลอมรวมความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยี และภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อพัฒนายกระดับและรังสรรค์สินค้าหรือบริการที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่น และสร้างคุณค่าที่แตกต่าง เพื่อสร้าง “เสน่ห์” ให้กับสินค้าและบริการ

2.เผยแพร่ให้กว้างไกล: ใช้สื่อประชาสัมพันธ์ งานแสดงสินค้า โซเชียลมีเดีย และอินฟลูเอนเซอร์ เพื่อขยายการรับรู้และสร้างการจดจำในวงกว้าง โดยเฉพาะช่องทางต่างๆ ที่ส่งเสริมให้คุณค่าของสินค้าหรือบริการสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าภายในประเทศ รวมถึงต่างประเทศ

3.โน้มน้าวด้วยคุณค่า: สร้างความเชื่อมั่นและยอมรับผ่านคุณภาพ มาตรฐาน รางวัล และประสบการณ์ที่น่าประทับใจ เพื่อให้ผู้บริโภค “เปิดใจ” และ “เลือกใช้” สินค้าและบริการอย่างภาคภูมิใจ

การสร้างซอฟต์พาวเวอร์ต้องขับเคลื่อนอย่างสม่ำเสมอจนเกิดการยอมรับในระดับสากล เราสามารถต่อยอดซอฟต์พาวเวอร์ที่มีอยู่แล้วเหล่านี้ เพื่อเป็นสะพานเชื่อมโยงและนำเสนอคุณค่าใหม่ๆ สู่สายตาชาวโลก เช่น อาหารไทยสู่ฟิวชั่นระดับโลก ทั้งผ่านเทศกาลอาหารไทยหรือภาพยนตร์ไทย มวยไทยสู่สตูดิโอฟิตเนส หรืออุตสาหกรรมบันเทิง หัตถกรรมไทยสู่ผลิตภัณฑ์แฟชั่นไลฟ์สไตล์ เป็นต้น

ที่ผ่านมา ภาครัฐให้การสนับสนุนวิสาหกิจไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่ยังขาดความเชื่อมโยงและครอบคลุมองค์ประกอบหลักของการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ทั้ง 3 ด้าน ส่งผลให้วิสาหกิจที่มีศักยภาพบางรายไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดไปสร้างแบรนด์ไทยในระดับสากลได้อย่างเต็มที่

ขณะเดียวกัน การที่ภาครัฐยังยึดติดกับแนวทางการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์แบบเดิมๆ ที่เน้นการควบคุมและบังคับให้ผู้บริโภคยอมรับ โดยละเลยการเปิดรับความคิดสร้างสรรค์และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก

การผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ไทยให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืน ต้องอาศัยการขับเคลื่อนร่วมกันของภาครัฐและเอกชน ดังนี้

1) ภาครัฐควรปรับเปลี่ยนบทบาท จากการควบคุมเป็นการสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้ภาคเอกชนมีอิสระในการสร้างสรรค์และพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลกด้วยการต่อยอดจากเสน่ห์และคุณค่าที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย

2) ควรให้การสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ หรือธุรกิจอย่างครบวงจร ใน 3 องค์ประกอบหลักของการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ “สร้างสรรค์เสน่ห์ เผยแพร่ให้กว้างไกล โน้มน้าวด้วยคุณค่า” โดยเฉพาะการส่งเสริมการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ในวงกว้าง เพื่อสร้างการรับรู้และการยอมรับของกลุ่มเป้าหมายในระดับสากล

3) ควรให้ความสำคัญกับการกำกับดูแล สินค้าคุณภาพต่ำและสินค้าราคาถูกที่อาจบั่นทอนภาพลักษณ์ของซอฟต์พาวเวอร์ไทย

4) ควรเปิดรับและสร้างพื้นที่ให้กับความคิดสร้างสรรค์ ควบคู่กับการสื่อสารซอฟต์พาวเวอร์ไทยอย่างเป็นระบบ และมุ่งเป้าหมายอย่างชัดเจน เพื่อให้ซอฟต์พาวเวอร์ไทยสามารถเข้าถึงและโน้มน้าวกลุ่มคนรุ่นใหม่และชาวต่างชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สุดท้ายนี้ การสู้กับสินค้าราคาถูก ไม่จำเป็นต้องลดคุณค่าของไทยเอง แต่คือการยกระดับอัตลักษณ์ไทยให้เป็นที่ยอมรับในเวทีโลก ด้วยเสน่ห์และคุณค่าที่แตกต่างอย่างสร้างสรรค์ หากภาครัฐและภาคเอกชนสามารถเดินไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นระบบ ซอฟต์พาวเวอร์ไทยจะไม่ใช่เพียงแค่กระแส แต่จะเป็นพลังที่สร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน และสามารถ “วัดพลังหมัดต่อหมัด” กับคู่แข่งได้อย่างแท้จริง

สำหรับวันนี้ผมต้องขอลาไปก่อน พบกันใหม่คราวหน้า กับเรื่องราวและข้อคิดดีๆ ในคิด เห็น แชร์ ครับ