อาณาจักร ‘กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์’ อัดลงทุน 5 ปี 1 แสนล้าน คิกออฟพลังงานสะอาด -ดิจิทัลดาต้าเซ็นเตอร์

อาณาจักร “กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์” อัดลงทุน 5 ปี 1 แสนล้าน คิกออฟพลังงานสะอาด -ดิจิทัลดาต้าเซ็นเตอร์

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 1 เมษายนที่จะถึงนี้ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ที่เกิดจากการควบรวมของ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCHจำกัด(มหาชน) จะแกรนด์โอเพนนิ่งอย่างเป็นทางการ และจะเริ่มซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯในวันที่ 3 เมษายนนี้

นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ระบุ ช่วง 5 ปีข้างหน้า(2568-72) GULF ตั้งไว้ประมาณ 100,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนในปีนี้ราว 20,000 ล้านบาท (ไม่รวมโครงการใหม่ที่ยังไม่สามารถระบุได้ ) การลงทุนส่วนใหญ่เน้นธุรกิจพลังงานสะอาดคิดเป็นสัดส่วน 60-70%

โดยในช่วงระหว่างการควบรวมกิจการ บริษัทจะไม่ลงทุนมาก เพราะอาจมีผลทำให้ราคาหุ้น GULF และ INTUCH ไม่สมดุลกัน แต่หลังจากวันที่ 1 เมษายนเป็นต้นไป บริษัทจะเร่งลงทุนเชิงรุกทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจโรงไฟฟ้า จะเน้นลงทุนในต่างประเทศ ปัจจุบันมีนักลงทุนมาชวนลงทุนเป็นจำนวนมาก

นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF

ส่วนในประเทศไทยจะเป็นการลงทุนในธุรกิจดาต้า เซ็นเตอร์ เฟสที่ 2 และ 3 หลังจากโครงการดาต้า เซ็นเตอร์เฟส 1 กำลังผลิต 25 เมกะวัตต์ มีลูกค้าครบแล้ว คาดว่าแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคมนี้ คาดหวังว่าดาต้าเซ็นเตอร์จะอยู่ที่ระดับ 200 เมกะวัตต์ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า

ADVERTISMENT

โดยเมื่อเร็วๆนี้ บริษัทได้รับการส่งเสริมบีโอไอ ในโครงการดาต้า เซ็นเตอร์ เฟส2 อีก 50 เมกะวัตต์ในนาม บริษัท จีเอสเอ ดาต้า เซนเตอร์ 02 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม Gulf, Singapore Telecommunications และ AIS เงินลงทุน 13,480 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี

นายสารัชถ์ กล่าวด้วยว่า ปีนี้ บริษัทมีแผนนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ประมาณ 4-5 ล้านตันเพื่อป้อนให้กับโรงไฟฟ้าหินกอง และโรงไฟฟ้า IPP และ SPP ในเครือบริษัทฯ โดยราคานำเข้าLNG ค่อนข้างต่ำ ขณะเดียวกันบริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจาทำสัญญานำเข้า LNG ระยะยาว 10ปีราวปีละ 2-3ล้านตันภายในปีนี้

ADVERTISMENT

ส่วนแนวโน้มผลประกอบการในปี 2568 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 20-25% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากมีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้น1,500 เมกะวัตต์ จะมาจากโครงการหินกอง (HKP) หน่วยผลิตที่ 2 กำลังการผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ ที่จ่ายไฟเชิงพาณิชย์( COD )ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา

รวมทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน 5 โครงการ และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน 2 โครงการ รวมกำลังการผลิตติดตั้งรวม 597 เมกะวัตต์ ที่มีแผนจะ COD ในช่วงเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม 2568 ,โครงการโซลาร์รูฟท็อป ภายใต้ GULF1 เพิ่มอีก110 เมกะวัตต์ในปีนี้ ส่งผลให้กำลังการผลิตไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นจาก 15,100 เมกะวัตต์ เพิ่มเป็น 16,577 เมกะวัตต์ในปีนี้

รวมทั้งรับรู้รายได้เต็มปีจากโครงการโซลาร์ฟาร์มและโซลาร์ผสมกับแบตเตอรี่ในประเทศอีกจำนวน 5 โครงการที่ COD ไปเมื่อเดือนธันวาคม 2567 และปีนี้ยังเป็นปีแรกที่จะรับรู้กำไรเต็มปีของโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD กำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,650 เมกะวัตต์

ส่วนการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR ) พลังงานไฮโดรเจน และโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) นั้น บริษัทไม่สนใจที่จะลงทุน เช่นเดียวกับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ เช่น โครงการท่าเรือ , โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอร์เตอร์เวย์) ที่จะไม่ลงทุนเพิ่มเติม แต่เน้นลงทุนดาต้า เซ็นเตอร์และดิจิทัล ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า

นายสารัชถ์ กล่าวย้ำว่า ประโยชน์จากการควบรวมกับ INTUCH ในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทใหม่มีฐานะการเงินที่แข็งแรงขึ้น เนื่องจากบริษัทใหม่จะถือหุ้นโดยตรงใน AIS สัดส่วน 40% ซึ่งสามารถที่จะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเข้ามาได้ไม่ต่ำกว่า 3,500 ล้านบาทต่อปี กระแสเงินสดและเงินปันผลมากขึ้นกว่า 6,000 ล้านบาทต่อปี

รวมถึงอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงเหลือ 0.8 เท่า จากเดิมไม่เกิน 1.8 เท่า และอันดับเครดิตเรทติ้งจะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งจะทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลง จากเดิมที่มีต้นทุนเงินกู้ที่ระดับ 3%

นอกจากนี้ ภายหลังการควบรวมกิจการจะทำให้บริษัทใหม่มี 4 กลุ่มธุรกิจหลัก 1.พลังงาน 2.โครงสร้างพื้นฐาน 3.ดิจิทัล และ4.ธุรกิจการลงทุนอื่นๆ เช่น การลงทุนใน ADVANC และ THCOM โดยบริษัทใหม่มีสัดส่วนกำไรจากธุรกิจพลังงานราว 60% ที่เหลืออีก40%มาจากธุรกิจอื่น

ส่วนการลงทุนในการซื้อหุ้น KBANK นั้น มองว่าหากราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมากๆก็คงขาย เป็นการซื้อเพื่อการลงทุน โดยมีโอกาสการลงทุนได้หมดทั้งซื้อหรือขายเพราะขึ้นอยู่ที่ราคา อย่างไรก็ตามหากราคาหุ้น KBANK ตกมาที่ 90 บาท ก็คงซื้อหุ้นเพิ่มอีก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image