ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้า ไทยโดน 36% สันติธารชี้ เป็น ‘แผ่นดินไหว’ การค้าโลก กระทบหนักกว่าที่คาด
วันที่ 3 เมษายน จากกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าในสหรัฐทุกประเภท 10% และจะเก็บภาษีเพิ่มเติมกับหลายประเทศ พบว่า ไทยถูกเก็บภาษีถึง 36% .ในขณะที่จีน 34 % เวียดนาม 46% ไต้หวัน 32%
ล่าสุด ดร.สันติธาร เสถียรไทย นักยุทธศาสตร์แห่งอนาคต อดีตผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีและภาคการเงินระดับโลก และนักคิดนักเขียน โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า รัฐบาลอเมริกาเพิ่งประกาศกำแพงภาษีครั้งใหญ่ที่เปรียบเสมือนเป็น ‘แผ่นดินไหว’ ช็อคการค้าไปทั้งโลกก็ว่าได้
- ทุกประเทศโดนภาษีอย่างน้อย 10%
- อีก 60ประเทศโดนภาษี ‘หมัดสวน’ (reciprocal tariff) ที่ประเทศไทยจะโดนถึง 36% สูงกว่าหลายประเทศ(ดูในคอมเมนท์)
อาฟเตอร์ช็อคของมาตราการครั้งนี้อาจจะรุนแรงและซับซ้อน เพราะว่า:
*หลายประเทศอาจเลือกที่จะใช้ไม้แข็งตั้งกำแพงภาษีกลับ สู้กันไปมา ทำให้การค้าโลกโดยรวมทรุดกว่าที่คิด
*บางประเทศอาจเสี่ยงตกเข้าภาวะเศรษฐกิจถดถอย (ความเสี่ยงของอเมริกาเองก็เพิ่มขึ้น)ทำให้
*เมื่อตลาดอเมริกาเหมือนจะกลายเป็น เมืองล้อมด้วยกำแพง ที่สินค้าเข้าไม่ได้หรือยากขึ้น ทุกประเทศก็จะคิดคล้ายๆกันคือต้องส่งออกไปตลาดอื่น ดังนั้นการแข่งขันจะเข้มข้นขึ้นทั้งสำหรับการส่งออกของไทยในตลาดที่3 และสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆอาจทะลักเข้ามาในไทยมาขึ้น
*เดิมการลงทุนที่ไทยได้จากการหลบเลี่ยงสงครามการค้าระหว่าง จีนและสหรัฐฯ อาจชะงักหรือชะลอเพราะตอนนี้ไทยเองก็โดนภาษีในระดับสูงเช่นกัน (แม้ว่าเวียดนามขะโดนมากกว่า)
*แน่นอนว่า ยังมีความไม่แน่นอนอีกหลายอย่าง เช่นว่ากำแพงภาษีทั้งหมดนี้เจรจาได้แค่ไหน แต่ความไม่แน่นอนนี่เองก็จะทำให้ธุรกิจต่างๆทั่วโลกต้องหยุดเพื่อรอดู ปรับแผน มีผลลบกับเศรษฐกิจการลงทุนทันที
ตอนนี้ยังฝุ่นตลบผมจะพยายามคอยเอาบทวิเคราะห์ดีๆมาแปะไว้ด้านล่างด้วย แต่สำหรับผมเชื่อว่านี่คือ ‘แผ่นดินไหว’ ทางการค้าโลกที่มีผลกระทบต่อไทยอย่างมาก (และมากกว่าที่คนส่วนใหญ่เคยคิดกัน) แน่นอน
ส่วนตัวจึงมองว่า จำเป็นต้องมี War Room ทีมพิเศษที่มีทั้งภาครัฐและเอกชนเตรียมรับมือเรื่องนี้ และให้เป็นเรื่องเร่งด่วนพิเศษ ธุรกิจต่างๆเองก็คงต้องเตรียมรับมือแรงกระแทกและปรับกลยุทธ์หาโอกาสในวิกฤตเช่นกัน เพราะช็อคครั้งนี้อาจไม่ใช่กระแทกระยะสั้นแต่จะมีผลปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจการค้าโลกระยะยาวด้วย