ปลัดพณ.เผยไทยพร้อมเจรจารบ.ทรัมป์ หลังถูกเรียกเก็บภาษี 37% ชี้หากนิ่งเฉย “ส่งออก”เสียหาย1 ล้านล้าน
เมื่อวันที่ 3 เมษายน นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวกรณีรัฐบาลสหรัฐเรียกเก็บอัตราภาษีศุลกากรใหม่เป็น “ภาษีศุลกากรพื้นฐาน” กับสินค้านำเข้ามายังสหรัฐจากทุกประเทศ 10% และยังเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่างตอบแทนที่สหรัฐระบุว่าเป็นประเทศที่ทำผิดร้ายแรงกับสหรัฐ โดยไทยถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น 36% นั้น ว่า กรณีอัตราภาษีที่ประธานาธิบดีสหรัฐถือเอกสารตอนแถลงข่าวอยู่ที่ 36% แต่ในเอกสารประกอบคำสั่งฝ่ายบริหารอยู่ที่ 37%
แต่ก่อนที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายน 2568 ยังมีเวลาที่ไทยจะเจรจาต่อรองได้ ไทยพร้อมที่จะเจรจาทุกเมื่อ รอเพียงให้สหรัฐรับนัดมา ถ้าเดินทางไปไม่ทัน ก็จะมีทีมไทยแลนด์ เป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เป็นหัวหน้าคณะ แต่หากมีเวลาเดินทางไป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จะเป็นหัวหน้าคณะไปเจรจาเอง
“ก่อนหน้านี้คาดว่าถ้าสหรัฐขึ้นภาษีตอบโต้ไทย 11% การส่งออกจะเสียหาย 7,000-8,000 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 1 ปี แต่ขณะนี้สหรัฐขึ้นภาษีเราสูงถึง 37% อาจจะทำให้การส่งออกเสียหาย 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1 ล้านล้านบาท) หากไทยไม่ทำอะไรเลย แต่ถ้าเจรจาต่อรองแล้ว เป็นผลสำเร็จ ก็อาจไม่เกิดความเสียหาย หรือเสียหายลดลง ส่วนจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยปีนี้ที่ตั้งเป้าหมายขยายตัว 2-3% หรือไม่ จะต้องรอดูผลการเจรจาอีกครั้ง” ปลัดกระทรวงพาณิชย์กล่าว
นายวุฒิไกรกล่าวว่า สำหรับแนวทางการเจรจากับสหรัฐ 1.ไทยจะลดภาษีสินค้านำเข้าสินค้าบางรายการให้กับสหรัฐ ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยนำเข้าอยู่แล้ว แต่นำเข้าจากแหล่งอื่น อย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง รวมถึงเพิ่มการลงทุนด้านพลังงานในสหรัฐ 2.เพิ่มปริมาณการนำเข้าสินค้าที่ยังไม่เคยนำเข้าจากสหรัฐ 3.ลดเงื่อนไขต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการนำเข้าของสหรัฐ โดยมั่นใจว่าจะเจรจาต่องรองกับสหรัฐได้ ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ซึ่งไม่ใช่แค่การเจรจาด้านการค้าสินค้าเท่านั้น แต่จะทำทุกมิติ ทั้งการค้าบริการที่สหรัฐได้ดุลไทยจำนวนมาก การลงทุน การเป็นพันธมิตรที่ดี และหากให้คะแนนความสำเร็จ ถ้าได้เจรจากัน น่าจะได้ถึง 7-9 เต็ม 10
นายวุฒิไกรกล่าวว่า ประเมินเบื้องต้นพบว่าสินค้าไทยที่จะได้รับผลกระทบมาก จะเป็นสินค้าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐมูลค่าสูง โดยสินค้า 15 อันดับแรกที่ส่งออกไปสหรัฐมาก ได้แก่ 1.โทรศัพท์มือถือ 2.ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 3.ยางรถยนต์ 4.เซมิคอนดักเตอร์ 5.หม้อแปลงไฟฟ้า 6.ชิ้นส่วนอุปกรณ์การพิมพ์ 7.ชิ้นส่วนรถยนต์ 8.อัญมณี 9.เครื่องปรับอากาศ 10.กล้องถ่ายรูป 11.เครื่องพรินเตอร์ 12.วัตถุดิบอาหารสัตว์ 13.แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ 14.ข้าว และ 15.ตู้เย็น
“ส่วนการพิจารณามาตรการเยียวยาผลกระทบให้กับผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกไปสหรัฐ จะมีการหารือกับนายพิชัย ชุณหวชวิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เช่น อาจจะมีกองทุนเพื่อช่วยเหลือ หรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ โดยจะกำหนดเงื่อนไขว่า ต้องเป็นนิติบุคคลสัญชาติไทย และมีการส่งออกไปสหรัฐ เพราะตัวเลขพวกนี้ มีข้อมูล มีสถิติชัดเจนอยู่แล้ว” นายวุฒิไกรกล่าว