ไทยเบฟ จัดทัพธุรกิจร้านอาหาร ชูกลยุทธ์ ONE FOOD-ONE TEAM-ONE GOAL ‘1 ร้าน 1 แบรนด์’ บุกตลาด
กลุ่มธุรกิจอาหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจครั้งสำคัญ โดยแต่งตั้ง ไพศาล อ่าวสถาพร ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร (ประเทศไทย) เพื่อดูแลภาพรวมธุรกิจอาหารในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ
สำหรับ “ไพศาล” ถือเป็นหนึ่งในผู้บริหารที่คร่ำหวอดในแวดวงธุรกิจบริการอาหาร มีประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถและความเชี่ยวชาญในธุรกิจ
“ไพศาล” ฉายภาพรวมธุรกิจร้านอาหารในปัจจุบันทรงตัว แต่ไม่น่ากังวล เพราะด้วยมูลค่าตลาดไม่ลดลง ยังคงอยู่ปีละ 6-7 แสนล้านบาท แม้จะมีปิดตัวไปบ้าง แต่ก็มีเปิดใหม่เข้ามาทดแทน อย่างไรก็ตามยังมีโจทย์ยากท้าทาย ภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดี หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อกำลังซื้อลดลง เชื่อว่าช่วงสงกรานต์นี้จะเห็นเงินสะพัดและมีความคึกคักมากขึ้น หลังรัฐมีนโยบายกระตุ้น ซึ่งบริษัทยังมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจยังสามารถขยายตัวได้มากกว่า 2% แม้จะเพิ่งผ่านเหตุการณ์แผ่นดินไหวไปและมีการประกาศนโยบายด้านภาษีนำเข้าของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐก็ตาม
ไพศาลกล่าวว่า สำหรับบริษัทในปี 2568 ได้ลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาท ขยายสาขาเพิ่มให้ได้ 888 สาขาตามที่วางเป้าหมายไว้ โดยช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา(ต.ค.67-มี.ค.68) เปิดไปแล้ว 40 สาขา ทำให้ปัจจุบันมีสาขาอยู่ที่ 847 สาขา และมี 28 แบรนด์ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม
ได้แก่ กลุ่มโออิชิธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น อาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมทานโออิชิ อีทโตะ ภายใต้บริษัท โออิชิ โฮลดิ้ง จำกัด จำนวน 284 สาขา, กลุ่ม QSA ภายใต้บริษัท เดอะ คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย จำกัด เป็นธุรกิจร้านอาหารบริการด่วนผู้ถือสิทธิแฟรนไชส์ซีเคเอฟซี จำนวน 500 สาขา และกลุ่ม FOA ภายใต้บริษัท ฟู้ด ออฟ เอเชีย จำกัด เป็นธุรกิจร้านอาหารจีน อาหารอาเซียน อาหารชาติตะวันตก รวมไปถึงเค้กและเบเกอรี่ จำนวน 63 สาขา
ขณะที่ใน 6 เดือนที่เหลือจะเปิดอีกประมาณ 31 สาขา รวมถึงจะมีแบรนด์ใหม่ในส่วนของกลุ่ม FOA เพิ่ม 2-3 แบรนด์ในเซกเมนต์ตลาดแมส ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาแบรนด์ รวมทั้งจะพาโออิชิกลับมาทวงบัลลังก์ความคึกคักและสร้างสีสันในตลาดอีกครั้ง หลังสงกรานต์นี้จะมีแคมเปญใหญ่ออกมาทำตลาด
“ภารกิจแรกหลังที่ผมได้เข้ามาบริหาร จะรวบธุรกิจอาหารในเครือของทั้ง 3 บริษัท ให้เป็นฟู้ดกรุ๊ป ภายใต้แนวคิด ONE FOOD-ONE TEAM-ONE GOAL เน้นการรวมศูนย์บริหาร ทุกแบรนด์สามารถมาใช้วัตถุดิบหรือคนร่วมกันได้ ทำให้มีประสิทธิภาพและบริหารจัดต้นทุนดีขึ้น ทั้งคนและวัตถุดิบ เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต โดยมีเป้าหมายต้องมีรายได้เติบโตดับเบิลดิจิตต่อปี ซึ่งการขยายธุรกิจในปัจจุบันไม่ได้มองแค่การเปิดสาขาเพิ่ม ต้องมองในมิติของการขยายศักยภาพด้วย ทั้งด้านเทคโนโลยี ข้อมูลต่างๆ ควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุน” ไพศาลกล่าว
ไพศาลกล่าวว่า ไฮไลต์ปีนี้จะเห็นโชว์เคสแบรนด์ใหม่เปิดร้านในโครงการวัน แบงค็อก ด้วยงบลงทุนรวมกว่า 400 ล้านบาท เพื่อเป็นการรวมแบรนด์ร้านอาหารในเครือไว้ในที่เดียว มากถึง 15 แบรนด์ โดยใช้กลยุทธ์ “1 ร้าน 1 แบรนด์” ไม่แข่งกันเอง แต่เสริมกันครบพอร์ต โดยเป็นแบรนด์ โฮว ยู ,ซาคาเอะ, ชาบูชิ อิชิเทน ,โออิชิ บิซโทโระ, เคเอฟซี, บ้านสุริยาศัย, หม่าน ฟู่ หยวน, แวนเทจ พอยท, ไฮด์ แอนด์ ซีค, ฟู้ด สตรีท, โฮมเบค บาย เอ็ม เอกซ์, สโมสร, เลิศเหลา, คาเฟ่ ชิลลี่ และช้าง แคนวาส โดยมี 3 แบรนด์เป็นไฮไลต์สำคัญของโปรเจกต์นี้คือ ช้าง แคนวาส ที่ลงทุนกว่า 300 ล้านบาท, สโมสร ร้านอาหารไทยร่วมสมัย และ เลิศเหลา ร้านเกาเหลาหม้อไฟระดับพรีเมียม
“ส่วนกรณีสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าในหลายประเทศและจากไทย 37% นั้น ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะตอบเรื่องผลกระทบ เพราะเพิ่งประกาศ อย่างไรก็ตาม เราก็ยังเฝ้าระวัง ทั้งนี้ เราเองมีการนำเข้าวัตถุดิบมาจากหลายประเทศเป็นการลดความเสี่ยงอยู่แล้ว เช่น เนื้อก็นำเข้าจากหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย เป็นต้น ดังนั้น มองภาพรวมแล้วไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่” ไพศาลกล่าว