บางจาก เปิดโรงกลั่นน้ำมันSAF 25เม.ย. มั่นใจเป็นเชื้อเพลิงมีความต้องการสูงในอนาคต

บางจาก

บางจาก เปิดโรงกลั่นน้ำมันSAF 25เม.ย. มั่นใจเป็นเชื้อเพลิงมีความต้องการสูงในอนาคต

เมื่อวันที่ 5 เมษายน นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่ากลุ่มบริษัทบางจากยืนยันความพร้อมในการดำเนินงานโครงการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) ทั้งในด้านวัตถุดิบ เทคโนโลยี และตลาดรองรับ โดยถือเป็นผู้บุกเบิกการผลิต Neat SAF 100% รายแรกของประเทศไทย ด้วยการใช้วัตถุดิบจากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว (Used Cooking Oil: UCO) และวัตถุดิบทางเลือก (ของเหลือทิ้งจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการอื่นๆ) ภายใต้ระบบที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากลจาก International Sustainability and Carbon Certification (ISCC)

ทั้งนี้ บริษัทได้มีการดำเนินการตั้งโรงกลั่นน้ำมัน SAF ปัจจุบันมีความก้าวหน้าด้านการก่อสร้างแล้วเสร็จไปกว่า 96% และพร้อมที่จะเปิดภายในวันที่ 25 เม.ย. นี้ โดยคาดว่ากระบวนการดำเนินงานจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ปลายไตรมาส 2 ของปี โดยมีแผนเริ่มต้นจากการทดสอบสมรรถนะของโรงงาน (Plant Performance Test Run) และจะทยอยเพิ่มระดับการผลิต (Ramp-up) ไปสู่การดำเนินงานอย่างต่อเนื่องตามสัญญาการจำหน่ายและแนวโน้มความต้องการของตลาด ซึ่งคาดว่าจะเริ่มกระบวนการผลิตเชิงพาณิชย์(COD) ได้ภายในปลายไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งจะสามารถรับรู้รายในช่วงเวลาเดียวกัน โดยแผนดำเนินการผลิตรวมอยู่ที่ 1 ล้านลิตรต่อวัน

บางจาก

บางจากฯ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขาย SAF กับลูกค้าหลักแล้ว และรับจ้างการกลั่น (Tolling) อีกทั้งอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเรามีซัพพลายที่จะนำมาผลิตน้ำมัน SAF แล้วประมาณ 25 ล้านลิตร ซึ่งเป็นทั้งในส่วนที่สะสมเอง และรับมาจากผู้จ้างกลั่น โดยบริษัทมีพันธมิตรที่จะซัพพลายน้ำมันใช้แล้ว หรือ UCO ให้เป็นรายใหญ่ 4-5 ราย และรายเล็กกว่า 4-5 ราย รวมถึงเป็นส่วนของประเทศเพื่อนบ้านด้วย โดยตัวโรงกลั่นจะสามารถเดินเครื่องได้ทันที 50% ของกำลังการผลิต และรันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยทางบริษัทก็ต้องดูเงื่อนไขว่าจะดำเนินการอย่างไร จะเดินเครื่องทั้ง 100% เลยหรือไม่ เนื่องจากในช่วงแรกเป็นช่วงที่ต้องสร้างอีโคซิสเต็มก่อน โดยเป็นการเตรียมความพร้อม และประเมินดีมานด์และซัพพลายในประเทศพร้อมกับคู่ค้า โดยโรงงานได้ออกแบบมาเพื่อผลิตและขายในประเทศ 100% ในปี 2030 แต่ในระยะใกล้นี้หากยังไม่มีแผนงานที่ชัดเจนในประเทศก็จะทำการส่งออกก่อน

ADVERTISMENT

อย่างไรก็ตามแม้ในหลายประเทศยังไม่มีนโยบายบังคับผสม SAF ที่ชัดเจน โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย แต่ความต้องการเชื้อเพลิง SAF ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องทั่วโลก จากแรงขับเคลื่อนของเป้าหมาย Net Zero และการลดคาร์บอนในภาคการบิน ขณะเดียวกัน หลายภูมิภาค เช่น สหภาพยุโรป ได้เริ่มกำหนดเป้าหมายขั้นต่ำที่ 2% ภายในปี 2025 ซึ่งสะท้อนทิศทางที่ชัดเจนและสร้างแรงจูงใจในการลงทุน ทั้งนี้ แม้ในระยะสั้นตลาด SAF อาจยังมีปริมาณเหลืออยู่บ้าง แต่ในระยะยาวเริ่มจากปี 2030 กลับมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะขาดแคลน เมื่อข้อกำหนดบังคับเริ่มทยอยมีผลในหลายประเทศทั่วโลก

ADVERTISMENT

ในหลายประเทศเริ่มเห็นแนวทางที่ชัดเจนแล้ว และภาครัฐของประเทศนั้น ๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ก็มีการอุดหนุนโดยตรง เพื่อผลักดันให้เกิดการตั้งโรงงาน SAF อย่างญี่ปุ่น ทั้งประเทศมีแผนจะพัฒนา 6 โรงงาน และเริ่มเดินหน้าแล้ว 1 โรงงาน ขณะที่ในประเทศไทยหากได้การอุดหนุนโดยตรงจากภาครัฐก็จะช่วยสนับสนุนให้เกิดขึ้นได้เร็ว ซึ่งมั่นใจว่าในภาคการบินน้ำมัน SAF จะเป็นเพียวตัวเลือกเดียวในอนาคตที่จะตอบโจทย์กับความต้องการของสังคมในด้านการลดคาร์บอนได้มากที่สุด เพราะในมุมของเทคนิคการจะเปลี่ยนเครื่องบินไปใช้พลังงานไฟฟ้า หรือใส่แบตเตอรี่ก็จะเป็นเรื่องที่ยากลำบาก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image