เปิดไทม์ไลน์ภาษี ทรัมป์ 2.0 ก่อนมาถึงคิวไทย 36%
กรณีสหรัฐ โดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ กำหนดเพดานภาษีนำเข้าที่จะเก็บจากสินค้านำเข้าจากประเทศไทย อยู่ที่ 36% โดยสาระสำคัญ มีดังนี้
1.Baseline Tariff: จัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกรายการจากทุกประเทศในอัตราร้อยละ 10 โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เมษายน 2568
2.Individualized Reciprocal Higher Tariff: จัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกรายการเป็นรายประเทศ สำหรับประเทศที่สหรัฐมีการขาดดุลการค้าด้วยสูง โดยไทยถูกกำหนดภาษีในอัตราร้อยละ 36 โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายน 2568
3.สินค้าที่ไม่ได้อยู่ภายใต้มาตรการ Reciprocal Tariffs นี้ ได้แก่ 1.สินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรา 232 อยู่แล้ว ได้แก่ เหล็ก/อะลูมิเนียมและรถยนต์/ชิ้นส่วนรถยนต์ 2.สินค้าที่ระบุไว้ในเอกสาร Annex II ของ EO ครอบคลุมทองแดง ผลิตภัณฑ์ยา เซมิคอนดักเตอร์ ไม้แปรรูป แร่ที่มีความสำคัญ และพลังงาน และ 3.สินค้าอื่นๆ ที่อาจถูกกำหนดให้อยู่ภายใต้มาตรา 232 ในอนาคต
4.USMCA – อัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก (ร้อยละ 25 สำหรับสินค้าทุกรายการ/ร้อยละ 10 สำหรับพลังงานและโพแทช) จะยังคงเป็นไปตามคำสั่ง EO เรื่องปัญหาผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย/ยาเฟนทานิล โดยสินค้าที่มีคุณสมบัติตามเงื่อนไขและเกณฑ์ข้อกำหนดที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีภายใต้ความตกลง USMCA จะไม่ถูกจัดเก็บภาษีนำเข้า ทั้งนี้ ในกรณีที่คำสั่ง EO ดังกล่าวถูกยกเลิก สินค้าที่ไม่เข้าข่ายเงื่อนไขและเกณฑ์ข้อกำหนดตามความตกลง USMCA จะถูกจัดเก็บภาษีต่างตอบแทนในอัตราร้อยละ 12
5.Duty-free de minimis: สินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 เหรียญสหรัฐ จะยังได้รับสิทธิยกเว้นภาษีตามข้อกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำ (duty-free de minimis treatment) ต่อไป
ทั้งนี้ ก่อนที่มาถึงคิวไทย 36% ดังกล่าว มีรายละเอียดไทม์ไลน์มาตรการทางภาษี ทรัมป์ 2.0 ดังนี้