จุลพันธ์เผยไม่เกินสงกรานต์นี้ เห็นไทยลัดฟ้าเจรจาสหรัฐแน่ ชี้ไม่หมดหวังเห็นจีดีพีโต 3%
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากกรณีประเทศไทยถูกสหรัฐประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้นถึง 36% นั้น ขณะนี้รัฐบาลได้เตรียมคณะทำงาน และเตรียมตัวเดินทางไปเจรจาร่วมกับผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) แล้ว โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เป็นหัวหน้าทีมจะนำคณะเดินทางไป ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าน่าจะเข้าไปหารือเร็วที่สุด ไม่เกินหลังสงกรานต์นี้ โดยคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทย การขึ้นภาษีสหรัฐมีผลกระทบแน่นอน แต่จะโตเพียง 1% เหมือนที่สำนักงานด้านเศรษฐกิจมองหรือไม่ ยังตอบไม่ได้ เนื่องจากยังมีกระบวนการเจรจาที่ต้องรอผลอยู่ หากรัฐบาลไม่ทำอะไรเลยอาจเป็นอย่างที่มองกัน แต่เราไม่ได้หยุดนิ่ง จึงยังหวังเห็นจีดีพีโตถึง 3% ได้
นายจุลพันธ์กล่าวว่า กลไกในการเจรจาในรูปแบบนี้ จะคุยกันในเรื่องอะไรบ้าง ต้องบอกว่าไม่สามารถตอบได้จริงๆ เพราะบางเรื่องก็ถือเป็นอาวุธของประเทศไทย การเจรจาร่วมกันคงไม่ได้เทหมดหน้าตักในครั้งแรก ต้องดูว่าอะไรเป็นสิ่งที่เราต้องปกป้อง หลักคิดของสูตรการคำนวณพูดง่ายๆ คือ ประเทศคุณค้าขายกับผมเล็กน้อยเท่านั้น แต่ทำไมถึงเกินดุลการค้าได้เยอะขนาดนั้น วิธีการแก้ตามหลักคิด ได้แก่ 1.การนำเข้าเพิ่มขึ้น 2.การส่งออกให้มากขึ้น และ 3.การเพิ่มปริมาณการค้ามากขึ้น โดยการส่งออกเราลดไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเป็นเครื่องยนต์กลไกหลักในการสร้างรายได้ให้ไทย ต้องใช้วิธีการเพิ่มปริมาณการค้า และการนำเข้าจากสหรัฐให้มากขึ้นแทน โดยต้องพิจารณาว่าแต่ละเซ็กเตอร์มีสินค้าใดที่ไทยนำเข้ามาจำเป็นต้องใช้อยู่แล้ว สามารถเปลี่ยนต้นทางจากประเทศอื่นเป็นสหรัฐแทนได้บ้าง ส่วนนี้จะเพิ่มปริมาณนำเข้าจากสหรัฐมากขึ้น
นายจุลพันธ์กล่าวว่า สินค้าที่มีการผลิตแบบไม่ตรงตามเดิม หรือถูกตั้งคำถามในเรื่องแหล่งกำเนิด รวมถึงเรื่องสินค้าลิขสิทธิ์ต่างๆ โดยส่วนนี้ประเทศไทยจะต้องรับโจทย์มาแล้วปรับโครงสร้างการผลิตสินค้า ว่าต้องทำอย่างไรได้บ้าง ไม่ใช่หวังเพียงตัวเลขการส่งออกอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งมองว่าไม่ใช่เรื่องแก้กฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่ต้องยืนยันเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้าในการส่งออกได้แบบชัดเจน โดยสินค้าที่กึ่งสำเร็จรูปที่เข้ามาในประเทศไทยแล้วทำการส่งออกไปต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐ ส่วนนี้กรมศุลกากร และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จะต้องตรวจสอบอย่างจริงจัง โดยการเจรจาการค้าร่วมกับสหรัฐ มีความหวังผลสำเร็จ แต่ไม่ได้คิดว่าจะเสร็จภายใน 3-5 วัน ของแบบนี้ต้องใช้เวลา
“สินค้าส่วนหนึ่งที่มองว่านำเข้าได้ง่ายที่สุด เป็นหมวดพลังงาน แต่การจะเข้าอะไรก็ตาม โจทย์สำคัญคือ ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อคนไทยมากเกินไป ดูให้มีความสมดุล ดูต้นทุนของสินค้าแต่ละอย่างด้วย อาทิ สินค้าเกษตร หากมีการนำเข้ามามากขึ้นแล้วกระทบกับราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ อันนี้ก็ปล่อยไม่ได้ เราโชคดีที่ภาคเอกชนไทยพร้อมประคับประคองเรื่องราคาให้กับพี่น้องเกษตรกรก่อน เพื่อให้หลายๆ อย่างกลับสู่สมดุลได้” นายจุลพันธ์กล่าว
นายจุลพันธ์กล่าวว่า รัฐบาลผ่านคณะทำงานได้เดินหน้าศึกษาการเจรจาในกรอบอาเซียนแล้ว แต่รายละเอียดในลักษณะนี้มีความแตกต่างกัน อาทิ สิงคโปร์ ที่ถูกเก็บภาษี 10% ทั้งที่ขาดดุลการค้ากับสหรัฐด้วยซ้ำ จึงอาจไม่มีความจำเป็นมากนักในการเจรจาการค้าเหมือนประเทศไทย ส่วนกัมพูชา ถือว่าถูกปรับขึ้นภาษีสูงมาก ทั้งที่ปริมาณการค้าขายไม่ได้สูงมากนักเทียบกับไทย ซึ่งไทยได้ดุลการค้าจากสหรัฐกว่า 4.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าเป็นเม็ดเงินที่ค่อนข้างเยอะ รัฐบาลจึงรับทุกข้อเสนอที่เข้ามา เพราะประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่จนสามารถใช้การรตอบโต้กลับแบบรุกรานหรือก้าวร้าว (อะเกรสซีฟ) ได้
“ประเทศไทยต้องมองโอกาสที่จะเกิดขึ้น เพราะเวลาที่เกิดสงครามการค้า อาทิ จีนตั้งกำแพงภาษีสู้กับสหรัฐ จะเกิดช่องว่างสำหรับการค้าขายใหม่ๆ ในประเทศ เพราะสินค้าต้องวิ่งอยู่ดี การบริโภคต้องมี แล้วประเทศไทยจะคว้าโอกาสนั้นได้หรือไม่ จะมีโอกาสในการหาเข้ามาได้ อย่างการดึงเม็ดเงินลงทุนที่ถูกตัดจากการเข้าไปลงทุนในสหรัฐจากฝรั่งเศส สุดท้ายเงินลงทุนเหล่านี้ต้องหาที่ไป แล้วไทยจะมีโอกาสดึงเข้ามาได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับกระบวนการมองและคิดต่อไป” นายจุลพันธ์กล่าว