17 เม.ย. ศาลนัดไต่สวน เนสท์เล่-มหากิจศิริ คดีห้ามผลิต-ขาย ‘เนสกาแฟ’ ร้านค้าลุ้นระทึก
หลังศาลแพ่งมีนบุรีออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว กรณี เฉลิมชัย มหากิจศิริ หนึ่งในผู้ถือหุ้นบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ฟ้องดำเนินคดีเนสท์เล่
โดยศาลมีคำสั่งเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ห้ามมิให้ “เนสท์เล่” ผู้เป็นเจ้าของแบรนด์เนสกาแฟ ดำเนินการผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูป โดยใช้เครื่องหมายการค้า Nescafé ในประเทศไทย
ต่อมา วันที่ 4 เมษายน 2568 เนสท์เล่ ได้ทำหนังสือแจ้งลูกค้าผู้ประกอบการร้านค้าปลีกต่างๆ ทั่วประเทศว่าบริษัทจะไม่สามารถรับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เนสกาแฟได้ โดยมีผลตั้งแต่บัดนี้จนกว่าจะมีการแจ้งให้ทราบภายหลังและจะพยายามแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนที่สุด
วันที่ 8 เมษายน 2568 เนสท์เล่ ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว พร้อมรวบรวมข้อมูลจากร้านค้าเพื่อยื่นให้ศาลพิจารณาเพิ่มเติม
วันที่ 11 เมษายน นายมิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จำกัด ผู้ค้าปลีกและค้าส่งรายใหญ่ในจังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นคู่ค้ามาเป็นระยะเวลานาน ได้ทำหนังสือถึง บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ถึงผลกระทบจากคำสั่งศาลให้หยุดจำหน่ายผลิตภัตภัณฑ์เนสกาแฟในประเทศไทยทั้งโดยตรงต่อยอดขาย รายได้และค่าใช้จ่ายของ บริษัท ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จำกัด อย่างมีนัยสำคัญทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะรายได้จากยอดขายและค่าดำเนินงานต่างๆ ที่มีการใช้ในการพัฒนาการขาย ผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ อาทิ กิจกรรมส่งเสริมการขาย จึงให้เร่งในการพิจารณาแนวทางเยียวยา หาวิธีการแก้ไขปัญหาให้บริษัทฯสามารถดำเนินธุรกิจได้ต่อไป
ล่าสุดรายงานข่าวแจ้งว่า เนสท์เล่ได้ยื่นต่อศาลขอให้มีการไต่สวนฉุกเฉินวันที่ 17 เมษายนนี้
“หลังเนสท์เล่หยุดรับคำสั่งซื้อและมีข่าวออกไป เริ่มมีคนแพนิกมาซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น แต่เราก็ขายให้เท่าที่จำเป็น เพราะยังไม่รู้ว่าคดีความจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ อย่างไรก็ดีถ้าวันที่ 17 เมษายนนี้ ศาลมีคำตัดสินปลดล็อกให้เนสท์เล่ขายเนสกาแฟต่อไปได้ สถานการณ์ทุกอย่างก็จะคลี่คลาย แต่ถ้าไม่มีการปลดล็อก จะทำให้สินค้าขาดตลาด และยอดขายของร้านค้าจะหายไปอย่างแน่นอน เช่นที่ร้านถ้าหากไม่มีเนสกาแฟขาย 1 เดือน ยอดขายจะหายไป 18-20 ล้านบาทต่อเดือน เป็นต้น” นายมิลินทร์กล่าว